Dropzone Festival เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ ด้วยโปรดักชั่นระดับโลก, การแสดงสุดอลัง และกิจกรรมที่ไม่เหมือนใคร
งานปาร์ตี้ฟอร์มยักษ์ Dropzone Festival ได้เปิดตัวประเดิมความมันส์กับงานครั้งแรกในเมืองไทยไปเป็นที่เรียบร้อย เมื่อวันที่ 2 และ 3 มีนาคมที่ผ่านมา ณ สวนสนุกวันเดอร์เวิลด์ (Wonder World Extreme Park) และเราต้องบอกเลยว่า นี่จะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่คุณจะได้พบกับพวกเขาแน่นอน ภายในงาน มีสายย่อมารวมตัวกันถึง 10,000 กว่าชีวิตต่อวัน แถมทุกคนยังแต่งตัวเข้าธีม survivor มาแบบจัดเต็มสุด ๆ โดยทางทีมงานเองก็ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง จัดเตรียมความสนุกแบบเต็มรูปแบบไว้ให้ทุกคนอย่างไม่ขาดสาย อีกทั้งเหล่าดีเจแนวหน้าอย่าง Dash Berlin, Dirtcaps, UZ, Sven Vath, Kaskade, Atmozfears และ Pan-Pot ยังขนความเดือดมาสู่เวทีอย่างไม่น้อยหน้ากันเลย สิ่งเหล่าเป็นเพียงบางส่วนที่ทำให้ Dropzone Festival ได้รับเสียงตอบรับอย่างยอดเยี่ยมและถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมากเลยทีเดียว แต่ที่แน่ ๆ ทุกคนคงพูดเป็นเสียงเดียวกันได้ว่างานนี้ ทั้ง โปรดักชั่น การแสดง และกิจกรรมภายในงานนั้นปังสุด ๆ ไปเลย
ทั้งสามเวทีได้รับการดูแลเป็นพิเศษจาก Switch Audiovisuals และ LEDSControl ที่ขนงานโปรดักชั่นอันสุดสวยงามอลังการมาจากเมืองบาร์เซโลน่า ประเทศสเปน กันเลย มีครบทั้งแสง สี เสียง เลเซอร์ และ special effect ที่ทำให้เราถึงกับฟินไปตามๆ กัน ตอนเดินเข้างานเราจะพบกับเวที The Station เป็นจุดแรก โดยสิ่งหนึ่งที่เราประทับใจสุดๆ กับเวทีนี้คือการตกแต่งแท่นดีเจด้วยตะแกรงเหล็กและแผงกระดานทองแดงที่ดูขึ้นสนิมนิด ๆ ทำให้เข้ากับธีม “โลกหลังสงคราม” ได้อย่างยอดเยี่ยม ต่อมาคือเวที The Armory ที่อยู่ข้างบริเวณ The Bazaar เราจะพบกับจอภาพลายโมเสกออกแนว abstract ที่ล้อมแผงไฟ LED รูปหกเหลี่ยมที่อยู่ด้านบนเอาไว้ ดูเก๋ไก๋มีสไตล์ไม่เหมือนใครจริงๆ และแน่นอนว่าทางทีมงานต้องเก็บของดีไว้อยู่ท้ายสุด เพราะคุณจะไม่สามารถเห็นตัวเวทีหลัก The Core ได้เลยจนกว่าจะก้าวเข้าไปจนถึง แต่เราสามารถแอบเห็นความอลังการของโครงสร้างยักษ์ได้ตั้งแต่ระยะใกล้ๆ แล้ว พอไปถึงก็ต้องยอมจำนนกับจอ LED ขนาดมหึมาจำนวนมากที่รวมพลังกับแสงเลเซอร์อันนับไม่ถ้วน แสดงออกมาเป็น display แบบ 3D ที่ชวนให้หลงไหลเหลือเกิน
ลองไปดูภาพภายในงานกันเลย!
ในขณะที่เหล่าดีเจจากทั่วทุกมุมโลกต่างใส่พลังในการแสดงของพวกเขาอย่างไม่ยั้งบนทั้งสามเวที การแสดงของ Dash Berlin, Breathe Carolina และ Kill The Noise นั้นต้องบอกว่ามันส์หลุดโลกไปอีกระดับเลยจริง ๆ
ต้องยกนิ้วให้กับ Dash Berlin ที่ปิดท้ายเวทีหลักอย่าง The Core ไปอย่างสมบูรณ์แบบสุด ๆ ดอกไม้ไฟในตอนจบนั้นส่องท้องฟ้ายามคํ่าคืนให้กลับมาสว่างและเต็มไปด้วยสีสันอีกครั้ง ทุกคนต่างร้องตามไปกับเพลง "Save Yourself" ที่เป็น remake ของ "Coming Home" และรีมิกซ์ใหม่ล่าสุดของเพลง "Crazy" โดย Lost Frequencies และที่เราประทับใจมากที่สุดคงหนีไม่พ้น visual graphics สุดอลังบนจอยักษ์ที่มีสีขาว แดง และนําเงินของธงชาตืไทยเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงด้วย! Breathe Carolina ก็จัดเต็มไม่แพ้กันกับ setlist เพลงที่คัดสรรมาอย่างดีเพื่อทุกๆคน แฟนๆ ต่างดีใจที่ได้ชมพวกเขาเล่นเพลงดังอย่าง “Stable”, “Giants” และ ‘”Rhythm of the Night” กันแบบสดๆ ถึงขอบเวที ส่วนใครที่ชื่นชอบในแนว trap ก็ได้สนุกไปกับเพลง "Pop Dat" ในเวอร์ชั่นของพวกเขาเอง ส่วนเหล่าสาวก Dubstep ก็ได้พบกับยอดฝีมืออย่าง Kill The Noise ไปเป็นที่เรียบร้อยที่เวที The Armory มีทั้งการพ่นไฟบนเวที และการรวมตัวโดยไม่ได้นัดหมายของสายโยก ที่ล้วนแล้วแต่ยกระดับความเดือของเพลงดังอย่าง "Kill It 4 The Kids", "Don't Give Up On Me" และ "Cold Hearted" ขึ้นไปอีกหลายขั้น ถึงแม้จะเป็นเรื่องน่าเสียดายที่วันที่ 2 ของเฟสติวัลถูกตัดให้จบเร็วขึ้น แต่ทั้ง Miss K8 และ Kaskade ก็ยังใส่พลังแบบไม่ยั้งลงไปในโชว์ให้แฟนทุกคนได้สนุกกันอย่างเต็มที่ส่งท้าย ด้วยเพลงที่ทำให้ทุกคนอดโยกไม่ได้อย่าง "Disarm You” และ “Something Something”
มันจะไม่ครบหากเราไม่พูดถึงเหล่ากิจกรรมน่าสนใจภายในงานที่ทำให้ประสบการณ์ปาร์ตี้ของ Dropzone Festival แตกต่างกับที่อื่นโดยสิ้นเชิง ทีมของเกมเลเชอร์แท็กสุดมันส์อย่าง LAZGAM ได้เข้ามาเปลี่ยนตึกเปล่า ๆ ในโซน The Arena ให้กลายเป็นสนามประลองฝีมือการรบของเหล่าพลทหารคนเก่งในงาน ส่วนในโซน The Arcade ก็มี 360 Dome ที่ทำให้ทุกคนได้ตื่นตาตื่นใจกับการแสดง visual ที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน มีอาหารการกินและเครื่องดื่มพร้อมให้ทุกคนได้เลือกทานในโซน The Bazaar ที่มีทั้งอาหารไทยที่เราคุ้นเคยไปจนถึงไส้กรอกเยอรมันรสเข้มข้นและผลไม้ปั่นแสนชื่นใจอีกด้วย ใครที่เหนื่อยมากเป็นพิเศษก็ต่างพากันไปที่ Recovery Bay ที่มีทั้งอาหารและสถานที่พักผ่อนให้ภายใต้โครงสร้างของรถไฟเหาะเก่าและวิวของโลโก้ Dropzone บนชิงช้าสวรรค์ขนาดยักษ์ เท่านั้นยังไม่พอ เพราะทั่วทั้งภายในงานยังมีระบบปล่อยละอองดับความร้อนโดย Mistify ที่จัดทำขึ้นในรูปแบบคล้ายกับเทศกาลระดับโลกอย่าง Tomorrowland อีกด้วย!
เราพูดได้เต็มปากเลยว่า Dropzone Festival ได้กลายเป็นหนึ่งในงานเทศกาลดนตรีที่สาวก EDM ทั่วทั้งโซน South East Asia ต้องจับตามอง และพลาดไม่ได้ที่จะต้องมาร่วมงานในปีต่อ ๆ ไป ส่วนใครพลาดงานปีนี้ไปไม่ต้องเสียใจ เพราะเราเชื่อว่า ทางทีมงานต้องมีเซอร์ไพรซ์เจ๋ง ๆ รอเราอยู่ในปีหน้าอย่างแน่นอน
ติดตามอัพเดทและข่าวสารล่าสุดจาก Dropzone ผ่านทางโซเชียลมีเดียของพวกเขาได้แล้ววันนี้!