10 บาร์นีออนทั่วกรุงเทพฯ น่าแวะไปดื่ม แชะ ชิม ชิลสักครั้ง
การกินดื่มและออกไปสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อนหลังเลิกงานเพื่อคลายเครียด หรือเติมความสุขเล็กน้อยให้ตัวเอง กลายเป็นวัฒนธรรมหนึ่งที่คนยุคมิลเลนเนียลอย่างเรารับเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิต
บางคนเอ็นจอยกับการทานอาหารรสอร่อย บางคนชอบที่ได้ฟังดนตรีหลากหลายแนว บางคนสนุกกับการลองจิบเครื่องดื่มหลากชนิด ส่วนบางคนแค่ได้นั่งในร้านบรรยากาศดี ตกแต่งเจ๋งๆ ก็รู้สึกแฮปปี้แล้ว
ยิ่งในกรุงเทพมหานคร ณ ปัจจุบัน มีร้านรวงเกิดขึ้นใหม่ตามย่านยอดนิยมต่างๆ เป็นประจำ เช่น สุขุมวิท อารีย์ อาร์ซีเอ เจริญกรุง ฯลฯ ซึ่งเป็นเรื่องดีต่อผู้บริโภคอย่างเรา เพราะมีตัวเลือกให้เราและเพื่อนได้ตระเวนไปสังสรรค์โดยไม่ซ้ำสถานที่กันเลยในแต่ละสัปดาห์
หากคุณเป็นหนึ่งคนที่กำลังมองหาสถานที่นั่งชิล บรรยากาศสุดชิคอยู่ Siam2nite ขอแนะนำ 10 บาร์ตกแต่งสไตล์นีออนทั่วกรุงเทพฯ ที่จะทำให้ค่ำคืนของคุณสว่างไสวไม่แพ้ไฟในเมืองกรุง! (เรียงตามตัวอักษรภาษาอังกฤษ)
Cat On The Roof
บาร์ที่จำลองบรรยากาศปาร์ตี้บนดาดฟ้าบ้านเพื่อนมาไว้ในย่านสะพานควาย บนชั้น 6 คือโซน Cat on the roof ในสไตล์รัสติกนีออน ซึ่งใช้วัสดุที่ไม่ปรุงแต่งมากนักเช่น ปูนเปลือย ไม้ และอิฐบล็อก ประดับด้วยไฟหลอดและไฟนีออนหลากสีสันทั้งสีม่วง น้ำเงิน เหลือง และแดง
โดยแบ่งเป็นพื้นที่อินดอร์และเอาต์ดอร์ ที่สามารถเพลิดเพลินไปกับภาพรถไฟฟ้าวิ่งตัดผ่านเมืองยามค่ำคืนได้อย่างเต็มตา
เมื่อเดินลงมายังชั้น 5 ระหว่างทางก็ยังคงคอนเซ็ปต์ไว้ ด้วยการตกแต่งบันไดและทางเข้าด้วยนีออนอาร์ตสุดแนว (ซึ่งจะเห็นสาวๆ เดินมาถ่ายรูปอยู่เรื่อยๆ) จากนั้นจะพบโซนพิเศษที่เรียกว่าห้องลับใต้หลังคา หรือ Tiger X Club ซึ่งเปลี่ยนคาแร็กเตอร์ร้านจากแมวเหมียวสุดชิลมาเป็นเสือเท่ๆ ที่ดุขึ้นมา
ด้านในเป็นโทนสีดำที่ตัดกับไฟนีออนสีแดงสด ซึ่งเมื่อตกแต่งเสร็จจะมีภาพกราฟิตี้เท่ๆ ให้ถ่ายรูปเล่นอีกเพียบ มีเคาน์เตอร์บาร์ติดไฟนีออนด้านล่างที่สามารถนั่งจิบเครื่องดื่มเย็นๆ พลางฟังดนตรีสดได้สบายๆ
ความแตกต่างระหว่างทั้งสองโซนคือแนวดนตรี โดย Cat on the roof จะเล่นดนตรีสดหลากแนวที่เน้นเพลงสากลเป็นหลัก มีเพลงไทยบ้างเล็กน้อย โดยนักดนตรี 1-2 คน แต่ที่ Tiger X Club จะเล่นโดยวงดนตรีฟูลแบนด์ เป็นเพลงที่สนุกขึ้นมาเล็กน้อย เราสามารถไปฟังได้ทุกวันตั้งแต่เวลาสองทุ่มครึ่งเป็นต้นไป
อีกหนึ่งความแตกต่างคือที่ห้องลับใต้หลังคาเน้นขายเบียร์ โดยมีทั้งเบียร์สดจากแท็ป เบียร์คราฟต์ แบบขวดและกระป๋อง หลากหลายชนิด ที่ทางร้านจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เพื่อให้ลูกค้าได้ลองดื่มรสชาติใหม่ๆ อยู่เสมอ
สำหรับเมนูอาหาร ทั้งสองโซนเป็นเมนูเดียวกัน ส่วนใหญ่เป็นอาหารทานเล่นและกับแกล้ม โดยเมนูแนะนำของร้านได้แก่ ของโปรดแมว (145 บาท) ที่นำหมึก ปลากรอบ ถั่ว และกุ้งแห้งมาคั่วพร้อมปรุงรส เสิร์ฟในกระบะอาหาร
บาร์บีคิว (ไม้ละ 55-75 บาท) ที่ต้องเลือกเนื้อสัตว์ก่อนว่าต้องการทานกุ้ง หมู ไก่ หรือไส้กรอกไก่ จากนั้นเลือกระดับความสุก และซอสราด ซึ่งมีทั้งต้มยำ เนยและเกลือ หม่าล่า จิ้มแจ่ว สไตล์ญี่ปุ่น หรือซอส Cat
นอกจากนี้ยังมี สลัดกุ้งทอด (195 บาท) คอหมูย่างจิ้มแจ่ว (165 บาท) และยำแซลมอน (230 บาท) ที่ปรุงรสจัดจ้านถูกปากคนไทย
Feelingbar
การออกไปเที่ยวกลางคืนมันมีความรู้สึกอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผลักให้เราตัดสินใจออกไปเยือนบาร์และคลับในแต่ละครั้ง และนั่นคือแนวคิดของ Feelingbar นีออนบาร์ย่านอารีย์ที่เรียกความสนใจจากทุกคนที่เดินผ่านร้านอย่างปฏิเสธไม่ได้
โดดเด่นด้วยไฟนีออนสีชมพูสุดจัดจ้านทั่วบริเวณร้าน ที่ถูกดึงสายตาด้วยไฟนีออนดัดเป็นประโยคและรูปร่างต่างๆ เช่น ‘How are you feeling tonight?’ บริเวณหน้าร้าน ที่แปลได้ว่า ‘คืนนี้คุณรู้สึกอย่างไร’ หรือตรงทางเข้าห้องน้ำจะเห็นไฟนีออนสีเหลืองสด เป็นคำถามกวนๆ ว่า ‘Whai pa (ไหวป่ะ)’
มุมเท่ยังไม่หมดเท่านี้ เพราะภายในร้านประดับตกแต่งด้วยรูปปั้น แบร์บริก ภาชนะเก๋ๆ และเฟอร์นิเจอร์เรียบๆ ที่มีสไตล์ ซึ่งเราเชื่อว่าคุณผู้หญิงทั้งหลายจะต้องไม่พลาดมาเยือนที่ร้านเพื่อแชะรูปเก็บไว้สักครั้งอย่างแน่นอน
สิ่งที่ทำให้การมาเที่ยวในแต่ละวันแตกต่างกันไป คือ Feeling ของดนตรีสด โดยเน้นเพลงสากลเป็นหลัก วันอังคาร Feeling Relaxed เพลงชิลฟังสบาย, วันพุธ Feeling Missed เพลงเก่ายุค 90’s-2000’s, วันพฤหัสบดี Feeling Blues เพลงเศร้าและอาร์แอนด์บี (มีทรัมเป็ตและแซกโซโฟนผสานความเป็นแจ๊สเข้าไปเล็กน้อย), วันศุกร์ Feeling Happy Friday เพลงฮิตทั้งเก่าและใหม่ปะปนกันไป และวันเสาร์ Feeling Excited เพลงฮิตปัจจุบัน
สำหรับเมนูอาหารเน้นความเป็นไทยที่นำมาดัดแปลง โดยผสานกับอาหารญี่ปุ่นและยุโรป นำเสนอออกมาในรูปแบบที่แตกต่างและน่าสนใจ เช่น ยำโบราณ (240 บาท) ยำวุ้นเส้นสูตรดั้งเดิมที่เสิร์ฟคู่ดอกบัวหลวงสีชมพู หรือรักสามเศร้า (120 บาท) ซูชิข้าวเหนียวปลาทู ราดซอส 3 ชนิด ได้แก่ วาซาบิมาโย, น้ำพริกเผา และน้ำพริกขี้กา
เครื่องดื่มที่ควรลองเมื่อมาเยือนที่ร้านนี้คือซิกเนเจอร์ค็อกเทลจำนวน 4 ตัว ได้แก่ ซ่อนเสน่ห์, เศร้าแล้วไง, ต่ายตื่นตูม และหวานชื่นใจ (240 บาทต่อแก้ว) ที่รังสรรค์ขึ้นมาโดยใช้วัตถุดิบไทยทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสุรา ผลไม้ ไซรัป หรือสมุนไพร
นอกจากนี้ทางร้านยังเตรียมดริงกิ้งเกมไว้ให้ทุกคนได้เล่นสนุกกับเพื่อนฝูงตลอดทั้งคืน ไม่ว่าจะเป็น เจงก้า, พินบอล, ปาเป้า, เพนกวินตอกน้ำแข็ง, ถอนฟันจระเข้ และอีกมากมาย
NOMA
NOMA หรือ Now our mother’s angry บาร์เฮาส์ที่ต้องการชวนทุกคนมาปาร์ตี้และพังบ้านกันตอนที่แม่ไม่อยู่ (ซึ่งตอนนี้แม่โกรธแล้วนะ!) ซึ่งเป็นคอนเซ็ปต์หลักของร้านที่นำไปสู่การออกแบบเครื่องดื่มและการตกแต่งร้านที่ไม่เหมือนใคร
ด้วยความตั้งใจที่ทำให้บาร์เป็นเหมือนบ้านเพื่อนที่เข้าถึงได้ง่าย จึงเลือกใช้ไม้เป็นวัสดุในการตกแต่งทั้งบาร์และเฟอร์นิเจอร์ที่ให้ความรู้สึกสบายๆ แต่แฝงความพิถีพิถัน โดยทุกอย่างภายในร้านจะทำหน้าที่เป็นเหมือนศิลปะประดับบาร์ เช่น โคมไฟ แก้วค็อกเทล โปสเตอร์ กรอบรูป ภาพยนตร์ที่ฉายบนโปรเจคเตอร์ และไฟนีออนโทนสีน้ำเงิน-แดง ที่ทำให้บรรยากาศร้านดูเท่และแตกต่างออกไป
หากคุณเป็นหนึ่งคนที่ชอบฟังเพลงหลากหลายแนวไม่เฉพาะเพลงเมนสตรีม ที่ NOMA แห่งนี้เปิดเพลงนอกกระแสเป็นหลัก แต่ก็มีฮิปฮอป ป็อป ร็อก พังก์ เมทัล หมอลำ ฯลฯ ปะปนกันไป เพราะทีมหุ้นส่วนต้องการให้ลูกค้าได้ฟังอะไรที่สดใหม่
โดยจะมีดีเจมาเล่นเป็นประจำทุกวันพฤหัสบดี-เสาร์ ที่น่าสนใจคือทุกวันพฤหัสบดีจะเป็นวันของ New Face ที่ทางร้านเปิดโอกาสให้คนที่อยากลองเป็นดีเจ หรือคนที่มีเพลงที่ตัวเองชอบแล้วอยากแบ่งปัน ส่งเพลย์ลิสต์มาทางเพจหรืออีเมลร้าน แล้วลองคุยกัน
หากมีลิสต์เพลงที่น่าสนใจ ทางร้านก็พร้อมที่จะสอนใช้อุปกรณ์และเปิดพื้นที่ให้ลองมิกซ์เพลงให้คนแปลกหน้าได้ฟัง ซึ่งจะเปลี่ยนดีเจไปเรื่อยๆ ทุกสัปดาห์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เกิดจากจุดยืนที่จะผลักดันศิลปินเด็กรุ่นใหม่นั่นเอง
สำหรับเมนูเครื่องดื่มที่น่าลองคือบรรดาค็อกเทลซิกเนเจอร์ ที่นำวัตถุดิบพื้นๆ มาจากสิ่งที่มีทั่วไป สามารถหาได้ในตู้เย็นที่บ้านมาทำ เช่น นูเทลล่า โยเกิร์ต มินต์ เยลลี่ ฯลฯ รังสรรค์โดยมิกโซโลจิสต์ และนำมาตั้งชื่อโดยจับคอนเส็ปต์ดนตรีของร้านใส่ลงไป
เราได้ลอง Dirty Staches (180 บาท) มีส่วนผสมของเบอร์เบิน น้ำสับปะรด กะทิอบควันเทียน อัลมอนด์ไซรัป น้ำมะนาว ปาดขอบแก้วด้วยนูเทลล่า และ Psycho Tropical Yoghurt (160 บาท) ทำมาจากจิน กีวี่โยเกิร์ต น้ำลิ้นจี่และเลม่อน ตกแต่งด้วยสับปะรดซีก นอกจากนี้มีซอฟต์ดริ้ง และเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์อื่นๆ ให้บริการ
Over Seoul
กลิ่นอายของกรุงโซล ถูกดึงมาใส่ไว้ในร้านอาหารกึ่งบาร์ย่านสนามเป้าอย่าง Over Seoul ที่เกิดจากความถนัดด้านการทำบาร์และความชอบในวัฒนธรรมเคป็อปของหุ้นส่วนแต่ละคนมารวมกัน แล้วนำเสนอออกมาเป็นแหล่งแฮงเอาต์ชิคๆ ถูกจริตคนไทย ที่ถึงแม้มีขนาดร้านไม่ใหญ่ แต่อัดแน่นไปด้วยบรรยากาศแบบเกาหลีใต้
เมื่อขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นสาม และเดินเข้าไปในร้าน จะพบกับกระจกบานใหญ่ตั้งเรียงกันเป็นแนวกำแพงยาว จึงทำให้พื้นที่ร้านที่มีขนาดกะทัดรัด ดูกว้างขวางขึ้นมาถนัดตา
ผนังปูนเปลือย และพื้นปูนขัดมัน ถูกเลือกนำมาใช้สร้างคาแร็กเตอร์ดิบๆ สไตล์อินดัสเทรียลลอฟต์ให้กับร้าน ก่อนทำให้โดดเด่นด้วยการประดับไฟนีออนสีชมพู-น้ำเงินโทนเย็นทั่วทั้งร้าน ที่ทำให้บาร์แห่งนี้เป็นที่จดจำได้ในระยะเวลาอันสั้น
ส่วนเพลงที่เปิดเป็นประจำ แน่นอนว่าต้องถูกใจสาวกเคป็อป เพราะขนเพลงฮิตตั้งแต่เพลงยุคบุกเบิกปีค.ศ. 2007 เช่น Bigbang, Girl’s Generation, 4 Minutes, Wonder Girl ฯลฯ จนกระทั่งเพลงใหม่ล่าสุดของวง ITZY ที่พึ่งเปิดตัวไปไม่กี่สัปดาห์ก่อนมาเล่นในร้าน ให้ทุกคนได้เต้นกระจายกันจนถึงเวลาปิดเลยทีเดียว
สำหรับอาหารในแต่ละรายการจะเป็นสไตล์เกาหลีที่นำมาปรับสูตรให้ถูกลิ้นคนไทยผู้รักความเข้มข้นและจัดจ้าน เช่น หมูสามชั้นปลาร้าเกาหลีกระทะร้อน (201 บาท) ข้าวกล่องโรงเรียนหรือโทชิรัก (221 บาท) ที่ต้องเขย่าให้เข้ากันก่อนทาน ซุปไข่ปลาค็อด (321 บาท) และบะหมี่เย็นเกาหลี (181 บาท) ที่ปรุงให้มีรสจัดขึ้น โดยเสิร์ฟคู่เครื่องเคียงหลายชนิด
เมนูเครื่องดื่มก็มีให้เลือกหลากหลาย ทั้งโซจู มักกอลลี ค็อกเทล เบียร์ และวิสกี้ แต่ที่พิเศษคือ Yogurt Soju (341 บาท) โซจูผสมนมเปรี้ยว น้ำอัดลม และวัตถุดิบอื่นๆ ที่เป็นสูตรเฉพาะของทางร้าน และ Makgeolli Original (321 บาท) มักกอลลีหรือไวน์ข้าวรสดั้งเดิม เสิร์ฟในกาสีขาวสุดน่ารัก
Pink Flamingo Bar by Prelude
เมื่อทีมผู้ปั้น Prelude ร้านอาหารฝรั่งเศสที่ชูวัตถุดิบและรสชาติแบบเอเชีย นำเสนอค็อกเทลบาร์หวานๆ ที่แอบซ่อนตัวอยู่ด้านหลังอย่าง Pink Flamingo Bar by Prelude ซึ่งคงคอนเส็ปต์การใช้วัตถุดิบพื้นบ้านมารังสรรค์เป็นเครื่องดื่มน่าสนใจหลายตัว
การตกแต่งภายในร้านเป็นธีมเรโทรยุค 80’s ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากกิจกรรมและดนตรีในสมัยนั้น ซึ่งเมื่อเดินเข้าไปจะพบแก๊งนกฟลามิงโกสีชมพูสดนับสิบตัวที่แขวนบนเพดาน รอต้อนรับเราทุกคนได้อย่างน่ารัก
ไม่เพียงเท่านั้น เพราะมุมอื่นของร้านก็ประดับประดาไปด้วยตุ๊กตา ภาพวาด ห่วงยาง เลโก้ พวงกุญแจ ไฟนีออนดัดสีชมพู และอื่นๆ อีกมากมายในรูปของนกฟลามิงโก ซึ่งให้บรรยากาศราวกับทรอปิคอลบาร์ใจกลางทองหล่อเลยก็ว่าได้ (และเราเชื่อว่าสาวๆ จะต้องอยากแอบมาแชะรูปสักสองสามช็อตกลับไปด้วยแน่นอน)
สิ่งที่ช่วยสร้างมู้ดยุค 80’s ให้กับร้านไม่น้อยไปกว่าการตกแต่ง คือดนตรีหลากหลายแนวที่เปิดสลับกันไปเรื่อยๆ ในแต่ละวัน เช่น โอลด์สคูลฮิปฮอป, โซล, ฟังก์ และดิสโก้
ซึ่งทุกวันศุกร์จะมีซีเคร็ตดีเจเตรียมเปิดเพลงสร้างบรรยากาศดีๆ โดยที่เราต้องคอยลุ้นกันเป็นรายสัปดาห์ไปว่า จะมีโอกาสเห็นอิเล็กทรอนิกส์ดีเจคนไหนมาแสดงฝีมือกันบ้าง
สำหรับเมนูค็อกเทล คิดค้นและสร้างสรรค์โดยเฮดบาร์เทนเดอร์คาลวิน (Calvin) จากสถาบัน Culinary Institute of America (CIA) โดยใช้วัตถุดิบจากท้องถิ่นของไทยมาเป็นส่วนผสมหลักในเครื่องดื่ม และถ่ายทอดออกมาเป็นค็อกเทลที่น่าสนใจทั้งรสชาติและหน้าตา
ที่น่าลองคือ Mystery Box (350 บาท) ค็อกเทลลึกลับตามใจบาร์เทนเดอร์ที่ต้องลุ้นกันเอาเองว่าบาร์เทนเดอร์จะชงเครื่องดื่มลักษณะไหนให้เรา
หากใครไม่ใช่แฟนค็อกเทล ก็มีคราฟต์เบียร์ ไวน์แดงและไวน์ขาวให้เลือกดื่มหลายรายการ โดยทางร้านจะเปลี่ยนไวน์ลิสต์เป็นประจำทุกเดือน เพราะฉะนั้น ไม่ว่าคุณจะชวนเพื่อนมาสังสรรค์ในช่วงใด ก็มีโอกาสดื่มเครื่องดื่มใหม่ๆ อยู่เสมอ
Pocha Ekkamai
ในซีรีส์เกาหลีมักจะมีฉากที่นางเอกหรือพระเอกนั่งดื่มโซจูในร้านอาหารที่เป็นเต็นท์ผ้าใบสีแดง ตั้งอยู่ริมถนนในวันฝนพรำ ซึ่งสถานนั้นเรียกว่าโพจังมาชา เน้นขายอาหารประเภทสตรีทฟู้ดทานง่าย พร้อมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่หนุ่มสาววัยทำงานมักมานั่งชิลกันหลังเลิกงาน
ร้าน Pocha (โพชา) ในซอยเอกมัยแห่งนี้ ก็ยกทั้งเต็นท์แดงและบรรยากาศแบบเกาหลีแท้ๆ มาไว้กลางเมือง ให้เราได้ซึบซับวัฒนธรรมการกินดื่มแบบชาวเกาหลีเต็มๆ
ซึ่งร้านสามารถจำลองภาพเหล่านั้นได้อย่างลงตัว โดยดึงมู้ดของร้านให้เหมือนยามค่ำคืนโดยการใช้วัสดุสีเข้ม ขึงผ้าใบสีแดงไว้เหนือศีรษะ นำพลาสติกใสมาติดไว้ด้านใน สอดรับกับสายฝนพรำจำลอง ตกแต่งด้วยต้นพ็อตกต หรือเชอร์รี่บลอสซัมเกาหลีประดิษฐ์ขนาดใหญ่ และไฟนีออนสีแดง ที่ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งอยู่ริมถนนในประเทศเกาหลีจริงๆ
เมื่อพูดถึงเกาหลี จะไม่กล่าวถึงเพลงเคป็อปก็ไม่ได้ ที่ร้าน Pocha จึงเตรียมลิสต์เพลงเกาหลียอดนิยมทั้งเก่าและใหม่ปะปนกันไป มาเปิดให้ฟังกันอย่างน็อนสต็อป พลางฉายซีรีส์และภาพยนตร์เกาหลีที่ยิงโปรเจคเตอร์เข้ากำแพงสีดำเข้มของร้านได้อย่างน่าสนใจ
หากกำลังมองหาอาหารเกาหลีตำรับโฮมเมดอยู่ ก็สามารถแวะเวียนมาลองทานได้ โดยร้านเสิร์ฟอาหารทานเล่นและกับแกล้มเป็นหลัก ซึ่งเราได้ลองเมนูอิ่มท้องอย่าง ต็อกปกกิ (280 บาท) แป้งต็อกในซอสแดงเกาหลีที่อัดแน่นไปด้วยเครื่องชุบแป้งทอดเช่น หมึก มันบด เกี๊ยว และข้าวห่อสาหร่าย
อีกเมนูหนึ่งคือไก่ทอดครึ่งครึ่ง (300 บาท) ไก่ทอดรสออริจินอลและไก่ทอดคลุกซอสเผ็ดเกาหลีอย่างละครึ่ง ที่เสิร์ฟในเขียงไม้ แบ่งทานกับเพื่อนก็อิ่มท้องกำลังดี
เมนูเครื่องดื่มที่ร้านมีให้เลือกดื่มครบทุกประเภท ทั้งโซจูหลากรส มักกอลลี(ไวน์ข้าวรสผลไม้) เบียร์เกาหลี เบียร์ไทย และซอฟต์ดริ้ง เรียกได้ว่าคุณจะได้ฟีลลิ่งของหนุ่มสาวเกาหลีอย่างแน่นอน
Pour
ค็อกเทลบาร์ย่านลาดพร้าวที่ทำให้ความธรรมดาไม่ธรรมดา เริ่มจากการเปลี่ยนห้องแถวหนึ่งคูหาขนาดเล็กๆ ให้มีสีขาวล้วน ก่อนเพิ่มกิมมิกและคาแร็กเตอร์เท่ๆ ให้กับร้านด้วยการติดไฟนีออนโทนสีชมพู-น้ำเงินเย็นๆ ที่ให้ความรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในหนังไซไฟสักเรื่อง
เมื่อเดินเข้าไปด้านใน สิ่งแรกที่พบคือเคาร์เตอร์บาร์แบบเปิด ที่โดดเด่นคือบริเวณตรงกลางบาร์ถูกเจาะเป็นช่องเล็กๆ แล้วใส่หลอดไฟไว้ด้านใน หากบาร์เทนเดอร์วางแก้วที่ตำแหน่งน้ันเมื่อไร ก็หมายความว่าถึงเวลาที่ลูกค้าทุกคนจะได้เอ็นจอยกับการชงเครื่องดื่มตั้งแต่ต้นจนจบท่ามกลางแสงไฟชิคๆ ล้อมรอบ
สำหรับเมนูเครื่องดื่มสามารถดูได้จากกระดานหลังบาร์ที่จะเขียนรายละเอียดของส่วนผสมไว้ ซึ่งทางร้านจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ อาจจะเป็นรายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือนก็ได้ ขึ้นอยู่กับไอเดียค็อกเทลได้มาในแต่ละช่วง
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าคุณจะชวนเพื่อนไปนั่งจิบค็อกเทลชิลๆ ที่บาร์นี้เมื่อใด ก็จะได้ลิ้มรสเครื่องดื่มใหม่ๆ อยู่เสมอ
ซึ่งคอนเส็ปต์หลักของการรังสรรค์เมนูเครื่องดื่มที่ Pour แห่งนี้ คือ หนึ่ง ใช้วัตถุดิบและผลไม้ตามฤดูกาล สอง ใช้วัตถุดิบจากสถานที่ต่างๆ ที่เจ้าของไปเยือนแล้วซื้อกลับมา ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และสาม เป็นเครื่องดื่ม Custom ตามที่ลูกค้าต้องการ ไม่ว่าคุณจะเอาวัตถุดิบหรือส่วนผสมอะไรมา บาร์เทนเดอร์ก็สามารถนำมาชงเครื่องดื่มรสชาติดีให้ได้
เราได้ลองค็อกเทลไร้ชื่อ (240 บาท) เบสเป็นรัม ผสมกับน้ำส้มคัมควอท (คล้ายส้มเขียวหวานผสมส้มยูสุ) และท็อปด้วยส้มหั่นซีก ก่อนนำกล่องพลาสติกมาครอบเพื่อรมควันด้วยไม้เชอร์รี่ มีกลิ่นหอมคาราเมล
และ Genie Sung (260 บาท) ค็อกเทลสีฟ้าสด เสิร์ฟในการูปร่างคล้ายตะเกียงแก้ว มีส่วนผสมของวอดก้า จัสมินไซรัป (มะลิ) มะนาว และลิเคียวส้ม
อย่างที่บอกไปว่าเมนูค็อกเทลจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่แน่ว่าตอนที่คุณไปอาจจะไม่มีสองเมนูนี้แล้ว แต่รับรองว่าจะได้รับประสบการณ์การดื่มแบบใหม่ๆ กลับไปแน่นอน
Ross Kitchen (รสคิทเช่น)
ณ ห้องอาหารไทย Ross Kitchen (รส คิทเช่น) บนชั้น 4 โรงแรมอัคราที่นำเมนูอาหารไทยพื้นบ้านรสจัดจ้านทั้ง 4 ภาคมาแปลงโฉม มีบาร์เล็กๆ บริเวณทางเข้าร้านที่น่าสนใจทั้งคอนเส็ปต์และการตกแต่ง จนรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ต่างก็ต้องมาเก็บภาพไว้สักครั้ง
ร้านจำลองภาพและยกเมืองไทยสมัยก่อน ช่วงหลังปีพ.ศ. 2499 ในสไตล์ของโรงหนังกลางกรุง มีกลิ่นอายของความวินเทจอบอวลทั่วร้าน
ซึ่งบาร์แห่งนี้เป็นอินฟิวส์บาร์ที่ออกแบบและตกแต่งร้านโดยเลียนแบบวัฒนธรรมไทยสมัยก่อน เวลาตลาดวาย ผู้คนจะมาตั้งโต๊ะกินดื่มกันหน้าตลาดที่รายล้อมไปด้วยโรงรับจำนำ ร้านขายยา ร้านเสริมสวย ฯลฯ
เราจึงเห็นหน้าร้านค้าเหล่านั้นที่ปิดประตูบ้านเฟี้ยมเรียบร้อย บ่งบอกว่าใกล้ถึงเวลาสังสรรค์ของผู้คน ก่อนทำให้มีสไตล์ขึ้นด้วยการสาดไฟนีออนสีแดงสดทั่วทั้งร้าน ซึ่งบรรยากาศราวกับภาพยนตร์เรโทร-ไซไฟชิคๆ สักเรื่อง
สำหรับเมนูเครื่องดื่ม ทางร้านแนะนำค็อกเทลซิกเนเจอร์ที่ใช้วัตถุดิบไทยเป็นส่วนผสมหลัก ทั้งสมุนไพร ผลไม้ เช่น และเบสจากเหล้าที่นำไปอินฟิวส์กับวัตถุดิบท้องถิ่น ก่อนตั้งชื่อในคอนเส็ปต์ไทยสมัยก่อน
เช่น รสอุทัย ค็อกเทลสีแดง-ชมพู ที่ทางร้านเขียนอธิบายค็อกเทลเมนูนี้ไว้ว่า ‘สดใส ร่าเริง ซ่อนความเปรี้ยว ชวนให้หลงไหล’ มีส่วนผสมของน้ำมะเม่า หรือ หมากเม่า มีรสชาติเปรี้ยวนำ สดชื่นและดื่มง่าย
อีกเมนูหนึ่งที่น่าสนใจคือ นวลนาง เครื่องดื่มสีเหลืองสด ที่มีส่วนผสมของผงกะหรี่ ซึ่งเมื่อดื่มแล้วจะ ‘หอมหวน ชวนฝัน สบตากลายเป็นทาสรัก’ อย่างแน่นอน
Sape Bar (เสพย์บาร์)
บาร์ยาดองย่านถนนพระอาทิตย์ที่นำเสนอบาร์สไตล์ไทยๆ ที่ผสานความโมเดิร์นเข้าไปทั้งในการออกแบบร้านและรังสรรค์เมนูเครื่องดื่ม เพื่อให้เข้ากับยุคสมัย รวมถึงให้คนรุ่นใหม่สามารถมาสนุกที่นี่ได้
การตกแต่งร้านทั้งบริเวณชั้นหนึ่งและชั้นลอย คงคอนเส็ปต์ไทย (ไม่) โบราณเอาไว้อย่างชัดเจน โดยนำภูมิปัญญาไทยอย่างเครื่องจักสาน เช่น กระด้ง โตก สุ่ม เก้าอี้หวาย มาประดับตกแต่งร้าน แซมด้วยผ้าขาวม้าและผ้าทอลายไทย
ส่วนเฟอร์นิเจอร์ใช้แคร่และหมอนขิด ควบคู่ไปกับโซฟาเบาะหนัง โต๊ะหินสีดำ และบาร์กระเบื้องสีเขียวที่คอนทราสต์กันอย่างลงตัว ซึ่งตัดด้วยแสงไฟนีออนสีแดง-ม่วง ที่เปลี่ยนมู้ดจากบาร์ไทยดั้งเดิมให้สนุกขึ้น
บรรยากาศในร้านถูกขับกล่อมด้วยเพลงไทยเดิมและไทยประยุกต์ที่ไม่เก่ามาก ซึ่งบรรเลงโดยเครื่องดนตรีไทยและสากลผสมกัน เช่น ขลุ่ย ระนาด คาฮอง มาราคัส คีย์บอร์ด เป็นประจำทุกวันอังคาร, พุธ ศุกร์, เสาร์ และอาทิตย์
ใครที่ชอบเมนูอาหารแปลกๆ ที่เสพย์บาร์แห่งนี้มีจระเข้ กบ และหนอน ที่นำมาปรุงให้สามารถทานได้ง่าย ไม่แปลกจนเกินไป แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็มีอาหารไทยและกับแกล้มทั่วไปพร้อมเสิร์ฟ
พระเอกของร้านคือค็อกเทลหลากเมนูที่มีเบสเป็นยาดอง ได้แก่ นารีรำพึง ม้ากระทืบโรง โด่ไม่รู้ล้ม และกำลังช้างสาร โดยมีทั้งคลาสสิกค็อกเทลและค็อกเทลที่คิดค้นขึ้นมาใหม่น่าลองหลายตัว
เช่น ลงแขก (280 บาท) เบสเป็นยาดองม้ากระทืบโรง (หรือนารีรำพึง) ผสมคลาสสิกลิเคียว จากนั้นราดด้วยซัมบูก้าติดไฟ ซึ่งเปลวไฟไหลลงมาเป็นชั้น ก่อนโรยด้วยผงอบเชย และเทสไปรท์เพื่อไม่ให้มีรสชาติเข้มมากเกินไป (และช่วยดับไปให้เราดื่มได้ด้วย) ซึ่งเหมาะสำหรับการแชร์กันดื่มกับเพื่อนมาก
นอกจากนี้ยังมีเมนูเครื่องดื่มจากยาดองอื่นๆ ที่ดีไซน์ขึ้นมาใหม่ให้ดื่มง่าย พร้อมวิธีการนำเสนอเมนูที่น่าสนใจอีกหลายตัว
หรือใครไม่ใช่แฟนยาดองจริงๆ ทางร้านก็มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และซอฟต์ดริ้งอื่นๆ ให้บริการอีกหลายชนิด
Tailor Asok
ย่านอโศกดูเหมือนจะไม่ใช่แหล่งเที่ยวกลางคืนยอดนิยมอย่างเอกมัย-ทองหล่อ แต่การเปิดร้าน Tailor Asok เมื่อกลางปีพ.ศ. 2561 ที่ผ่านมา ทำให้ถิ่นออฟฟิศใจกลางเมืองแห่งนี้ คึกคักขึ้นมาอย่างปฏิเสธไม่ได้
โดยบริเวณร้านจำนวนสองชั้น ถูกออกแบบและตกแต่งในธีมห้องเสื้อสุดยูนีก ที่ได้แรงบันดาลใจจากอาคารปัจจุบันของบาร์ ซึ่งเดิมเคยเป็นร้านตัดเสื้อที่อยู่คู่คนท้องถิ่นมายาวนานกว่า 40 ปี ร้านจึงพยายามคงคอนเส็ปต์เดิมไว้ให้มากที่สุด
เมื่อเดินเข้าไปด้านในจึงเห็นกรอบรูปดีไซน์เสื้อผ้า ไม้แขวนเสื้อ จักเย็บผ้า หุ่นใส่สูท ฯลฯ ที่ทำหน้าที่เป็นศิลปะประดับร้านและสร้างมู้ดแนวๆ ให้กับบาร์ ก่อนดีไซน์ให้ร่วมสมัยขึ้นด้วยการติดไฟนีออนหลากสีทั่วร้าน ดัดให้เป็นรูปร่างและคำต่างๆ รวมถึงติดไว้ด้านหลังบาร์บริเวณชั้นหนึ่ง ที่ทำให้การยืนรอเครื่องดื่มหน้าบาร์ไม่น่าเบื่ออีกต่อไป
ความแตกต่างระหว่างชั้นหนึ่งและชั้นสองคือ ชั้นล่างจะมีเวทีสำหรับการแสดงนตรีสดจากศิลปินชื่อดังและวงดนตรีที่มักเล่นเพลงยุค ‘90 - 2000 สุดคุ้นหู ที่คุณสามารถร้องตามได้อย่างไม่ติดขัด
ส่วนบริเวณชั้นสองมีความเป็นส่วนตัวขึ้นมาเล็กน้อย โดยมีกระจกใสที่สามารถมองภาพความคึกคักของถนนสุขุมวิทยามค่ำคืน พลางฟังดนตรีสดจากชั้นล่างอย่างเพลิดเพลิน
เมนูอาหารที่ Tailor Asok มีทั้งสไตล์ไทยและอเมริกันปะปนกันไป ส่วนเครื่องดื่มที่พลาดไม่ได้คือ ค็อกเทลซิกเนเจอร์ ซึ่งมิกโซโลจิสต์รังสรรค์ขึ้นมาใหม่ โดยนำคอนเส็ปต์ห้องเสื้อมาเป็นหัวใจสำคัญในการออกแบบ รวมถึงชื่อค็อกเทลแต่ละเมนูด้วย
นอกจากนี้ยังทำเมนูค็อกเทลใหม่ๆ ตามเทศกาลทั้งฮาโลวีน คริสต์มาส หรือวาเลนไทน์ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าคุณจะมาสนุกกับเพื่อนในช่วงใดของปี ก็จะได้ลิ้มรสชาติใหม่ๆ อยู่เสมอ