เช็กลิสต์สิ้นปี! 20 ร้านอาหาร บาร์ และไนต์คลับในกรุงเทพฯ เปิดใหม่เดือนตุลาคม-ธันวาคม 61
สามเดือนสุดท้ายช่วงปลายปี มักเป็นช่วงที่หลายคนรู้สึกตื่นเต้น และตั้งตาคอยถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในพ.ศ.ใหม่ที่กำลังจะเข้ามาเยือน รวมถึงเป็นช่วงแห่งการวางแผนท่องเที่ยวและออกเดินทางกับคนใกล้ชิดเพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลดีๆ อย่างไม่ต้องสงสัย
อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่ายังมีอีกหลายคนที่ยังไม่รู้ว่าจะใช้เวลาวันหยุดยาวไปสังสรรค์ที่ไหน และอาจตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ไปที่ไหนเลยก็มี แต่หากตั้งใจที่จะอยู่ในกรุงเทพฯ แล้วล่ะก็…
เรามี 20 ร้านอาหาร บาร์ และไนต์คลับเปิดใหม่ในเดือนตุลาคม-ธันวาคม หรือควอเตอร์ที่ 4 ของปีค.ศ. 2018 ที่กำลังรอให้ทุกคนลองแวะเวียนไปกิน ดื่ม และเที่ยวอย่างมีความสุขอยู่ จะมีร้านใดน่าสนใจและสามารถทำให้คุณตัดสินใจออกจากบ้านได้บ้างนั้น ไปดูกันเลย! (ไม่เรียงลำดับ)
PENTA
ไนต์คลับแห่งใหม่ย่านเอกมัยสำหรับสาวกเพลงฮิปฮอปที่พึ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อต้นเดือนธันวาคม การออกแบบและตกแต่งร้านมีสไตล์ดิบๆ ให้กลิ่นอายของคลับใต้ดิน โดยใช้โทนสีดำเป็นหลักแต่มีลูกเล่นด้วยแสงไฟและเลเซอร์ติดตั้งจำนวนมาก
การออกแบบและตกแต่งร้านนี้ช่วยกระตุ้นอารมณ์ปาร์ตี้ของทุกคนได้เป็นอย่างดี ด้านในมีจำนวน 2 ชั้น ไม่ว่าจะอยู่บริเวณใดของร้านก็สามารถสนุกไปกับเพลงมันๆ และจิบเครื่องดื่มดับกระหายได้อย่างเต็มที่ เพราะมีบูทดีเจและบาร์ทั้งสองชั้น
หากใครชื่นชอบมิกซ์ของเหล่าดีเจจาก Bangkok Invaders ที่ Penta ก็สามารถสร้างสีสันยามค่ำคืนให้ได้ เพราะมักมีอีเว้นท์และปาร์ตี้จากพวกเขา รวมถึงศิลปินฮิปฮอป-แร็ปเปอร์ไทยและต่างประเทศเป็นประจำโดยที่ผ่านมาได้สนุกไปกับ Young Bong, Mighty Crown, Thaitanium, Antriks Manaoat, Stresh Perso และ JFB มาแล้ว
Peak-A-Boo Cafe
เมื่อกวาดสายตามองไปรอบๆ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิจะจ๊ะเอ๋กับป้ายนีออนสีเขียวมิ้นต์ขนาดใหญ่ที่เขียนว่า Peak-A-Boo ซึ่งเป็นคาเฟ่และบาร์เชิงรูฟท็อป ที่สามารถนั่งมองภาพอนุสาวรีย์และรถไฟฟ้าวิ่งผ่านร้านได้อย่างเต็มตา มู้ดและโทนการตกแต่งร้านเป็นสีเขียวมิ้นต์ที่บรรยากาศตอนกลางวันและกลางคืนแตกต่างกันไป
คาเฟ่ในเวลากลางวันเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มประเภท ชา-กาแฟ เบเกอรี่ ขนมหวาน ส่วนบาร์ในยามกลางคืนเสิร์ฟอาหารไทยฟิวชั่นประเภทอาหารตามสั่งและกับแกล้มทานง่าย
ที่ไม่ควรพลาดได้แก่ ข้าวหน้าไข่ข้นทะเลต้มยำ (155 บาท) ข้าวกระเพราสันคอหมูย่างและไข่ข้นลาวา (155 บาท) ไส้กรอกเยอรมันรวมย่าง (220 บาท) ไข่ตุ๋นทรงเครื่อง (159 บาท) และต้มยำทะเล (199 บาท)
เครื่องดื่มที่ร้านรังสรรค์ขึ้นมาใหม่คือช็อตและบักเก็ตหลากรส หลากสี ซึ่งจุดเด่นของร้านคือบรรดา Drinking Games ที่สามารถเล่นสนุกระหว่างสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อนได้ เช่น Chess Drinking Game หรือหมากฮอสช็อต (450 บาท/เกม) สปินเนอร์ เจงก้า ฯลฯ ซึ่งจะมีเกมใหม่ๆ มาให้เล่นทุกเดือน
สำหรับคอเพลง ที่ Peak-A-Boo Bar มีดนตรีสดให้ฟังเป็นประจำทุกวัน เป็นแนวป็อปเบเกอรี่ฟังง่าย กึ่งอินดี้ ทั้งไทยและสากล โดยวันอาทิตย์ถึงพุธมี 1 วง และวันพฤหัสบดีถึงเสาร์มี 2 วง ซึ่งสไตล์การเล่นของแต่ละวงจะแตกต่างกันเล็กน้อย
Red Square Rooftop Bar
อินฟิวส์วอดก้าบาร์บนดาดฟ้าย่านนานา ที่แฟนเครื่องดื่มสีใส ไร้กลิ่นอย่างวอดก้าจะต้องโปรดปราน โดย Red Square Rooftop Bar มีแนวคิดการออกแบบร้านจากจัสตุรัสแดงหรือ RedSquare ณ กรุงมอสโก, รัสเซีย นำมาปรับแต่งและกลายเป็นบาร์สไตล์โมเดิร์นอินดัสเทรียลสีแดงสด
ทุกคนสามารถดื่มด่ำกับบรรยากาศเมืองกรุงย่านสุขุมวิท และถนนวิทยุได้โดยรอบ จากชั้น 25 ของโรงแรมโนโวเทล กรุงเทพ สุขุมวิท 4 พลางฟังเพลงฮิปฮอป และอาร์แอนด์บีที่เปิดคลอเบาๆ ตลอดคืน
เครื่องดื่มที่บาร์เน้นอินฟิวส์วอดก้า และวอดก้าที่คัดเลือกมาจากแต่ละประเทศในทุกทวีปทั่วโลก แล้วนำมารังสรรค์เป็นค็อกเทลน่าลองหลากเมนู ที่ชื่อเครื่องดื่มนำเสนอเอกลักษณ์ของแต่ละประเทศอย่างชัดเจน เสิร์ฟพร้อมอาหารตะวันตก
ประเภททาปาส อาหารเสียบไม้ย่าง โคลด์คัต ที่เหมาะสำหรับแบ่งทานกับกลุ่มเพื่อน และมีค่ำคืนดีๆ ไปพร้อมกัน เช่น Fresh Burrata (310 บาท) ชีสบูราต้าบนมะเขือเทศหั่นแว่น ราดด้วยบัลซามิกที่ไม่หนักท้อง สามารถทานได้เรื่อยๆ
Dumbo Bangkok
จากความประทับใจในมุมหนึ่งที่ย่าน Dumbo นครนิวยอร์ก ซึ่งสามารถมองเห็นภาพสะพานบรูคลินอันสวยงาม จึงนำมาเป็นชื่อบาร์บนดาดฟ้าแห่งนี้ การตกแต่งร้านส่วนหนึ่งก็ได้แรงบันดาลใจมาจากสถานที่ดังกล่าว และกลายเป็นบาร์บนดาดฟ้าตึกเก่าสไตล์รัสติกที่ยังคงความคลาสสิกเอาไว้เช่นเดิม
ความน่าสนใจคือเป็นหนึ่งในไม่กี่ร้านที่มีดนตรีแจ๊สเล่นสดให้ฟังเป็นประจำทุกวัน และเพื่อตอบแทนลูกค้าที่เดินขึ้นมายังบาร์แห่งนี้จนถึงชั้น 6 อาหารที่รอเสิร์ฟจึงไม่ได้เป็นเมนูง่ายๆ หาทานได้ทั่วไป แต่เป็นอาหารอเมริกันสไตล์โฮมเมดสูตรเฉพาะของทางร้าน ที่คิดและดีไซน์ขึ้นมาใหม่ทั้งหมด
ที่น่าลองคือ Penne Cheezy Creamy Shrimp (320 บาท) เพนเน่ซอสครีมกุ้งที่นำกุ้งไปสะดุ้งไฟแล้วใส่ไวน์ขาว เชดด้าชีส มอสซาเรลล่าชีส ปรุงด้วยพริกปราปริก้าและเลมอน และ Dumbo Wing (180 บาท) ปีกไก่ทอด ที่หมักกับเครื่องปรุงสูตรพิเศษของร้าน เสิร์ฟคู่ทาทาร์ซอสโฮมเมด
ส่วนเครื่องดื่มเป็นสไตล์นิวยอร์กที่นำมาปรับแต่งให้เข้ากับเมืองไทย ออกมาเป็นค็อกเทลและม็อกเทลหลากเมนู นอกจากนี้ยังมีไวน์แดงและไวน์ขาวให้บริการ
Feelingbar Ari
การออกไปเที่ยวกลางคืนมันมีความรู้สึกอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ที่ผลักให้เราออกไปกินและดื่มในแต่ละครั้ง และนั่นคือแนวคิดของ Feelingbar นีออนบาร์สุดโดดเด่นย่านอารีย์ที่ Feeling ของดนตรีสดที่เล่นในร้านในแต่ละวันแตกต่างกันออกไป โดยเน้นเพลงสากลเป็นหลัก ซึ่งวันอังคารคือ Feeling Relaxed เพลงชิลล์ฟังสบาย
วันพุธคือ Feeling Missed เพลงเก่ายุค 90’s-2000’s วันพฤหัสบดีคือ Feeling Blues เพลงเศร้าและอาร์แอนด์บี (มีทรัมเป็ตและแซกโซโฟนผสานความเป็นแจ๊สเข้าไปเล็กน้อย) วันศุกร์คือ Feeling Happy Friday เพลงฮิตทั้งเก่าและใหม่ปะปนกันไป วันเสาร์คือ Feeling Excited เพลงฮิตปัจจุบัน
สำหรับเมนูอาหารเน้นความเป็นไทยที่นำมาดัดแปลง โดยผสานกับอาหารญี่ปุ่นและยุโรป นำเสนอออกมาในรูปแบบที่แตกต่างและน่าสนใจ เช่น ยำโบราณ (240 บาท) ยำวุ้นเส้นสูตรดั้งเดิมที่เสิร์ฟคู่ดอกบัวหลวงสีชมพู
สำหรับเมนูเครื่องดื่มที่นี่ โดยเฉพาะค็อกเทล จะใช้วัตถุดิบไทยทั้งหมด ทั้งสุรา ผลไม้ สมุนไพร ฯลฯ รังสรรค์เป็นซิกเนเจอร์ค็อกเทลจำนวน 4 ตัว นอกจากนี้ทางร้านมีเบียร์ วิสกี้ และไฮบอลให้บริการ
The Garrison
ไอริชผับที่นำมาปรับให้เข้ากับความชอบของคนไทย กลายเป็นบาร์ที่มีกลิ่นอายความคลาสสิกของผับอังกฤษในยุค 1890’s ซึ่งได้ชื่อร้านและแนวคิดการตกแต่งมาจาก The Garrison Pub ที่ปรากฎในซีรีส์อาชญากรรมในเบอร์มิงแฮมช่วงยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 อย่าง Peaky Blinders บริเวณร้านทั้งชั้นหนึ่งและสองจึงเต็มไปด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้และของโบราณเท่ๆ
ใครที่ชอบเพลงสากลแนวคลาสสิกร็อก หรืออะคูสติก ก็สามารถมาฟังดนตรีสดที่นี่ได้เป็นประจำทุกวัน ตั้วแต่เวลาสองทุ่มเป็นต้นไป
สำหรับเมนูอาหารเป็นฟิวชั่นและอาหารไทย ที่ไม่ควรพลาดคือ สตูลิ้นวัว (280 บาท) ที่นำมาเคี่ยวกับเครื่องปรุงและไวน์แดงจนลิ้นวัวเปื่อยได้ที่ เมนูที่น่าลองไม่แพ้กันคือลาบเนื้อ (240 บาท) หมูหลบแดด (160 บาท) เสิร์ฟคู่น้ำจิ้มแจ่ว และข้าวผัดหมูเค็ม (160 บาท) ซึ่งทุกเมนูนี้เมื่อทานคู่กับเบียร์สดนั้นเข้ากันอย่างลงตัว
ส่วนเครื่องดื่มที่นี่เน้นวิสกี้ ไม่ว่าจะเป็นสก็อตช์วิสกี้ ซิงเกิลมอลต์ ฯลฯ รวมถึงเบียร์สดและเบียร์ขวด คลาสสิกค็อกเทล บรั่นดี ไซเดอร์ และชูตเตอร์ โดยตั้งแต่ปีค.ศ. 2019 เป็นต้นไป The Garrison จะเปิดให้บริการในช่วงกลางวัน โดยเสิร์ฟเครื่องดื่มประเภทชาและกาแฟเพิ่มเติม
Club Bootleg
ไนต์คลับสไตล์ฮิปฮอปแห่งใหม่ในย่านทองหล่อ ที่ซ่อนตัวอยู่บนชั้นสองร้าน Badmotel แห่งนี้ โดดเด่นด้วยการตกแต่งร้านที่ในสไตล์คัลเลอร์บล็อกกิ้งโดยใช้สีเหลือง-แดง-น้ำเงินเป็นหลัก เพิ่มลูกเล่นด้วยแสงไฟนีออนลากสีซึ่งให้บรรยากาศที่สนุกสนานยิ่งขึ้น
ถึงแม้ร้านจะมีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่อัดแน่นไปด้วยความสนุกเพราะนอกจากดีเจประจำที่มาเล่นเพลงฮิปฮอปสร้างสีสันยามค่ำคืนแล้ว ยังมีศิลปิน แร็ปเปอร์ และดีเจรับเชิญที่มักมาแสดงในปาร์ตี้พิเศษและอีเว้นท์ตามเทศกาลที่ Club Bootleg จัดเป็นประจำ
ที่ผ่านมาได้ Twopee, Bangkok Invaders, Diamond, Younggu, FIIXD, Youngohm และ Henri x 19Tyger มาร่วมโชว์ในปาร์ตี้มันๆ กันไปแล้ว
Mikkeller Ari
จากสาขาแรกที่เอกมัยซอย 10 ร้าน Mikkeller ได้ขยับขยายและเปิดสาขาสองในย่านอารีย์พร้อมนำเสนอในรูปแบบไทยทวิสต์ โดยตัวร้านดัดแปลงบ้านไม้สองชั้นให้กลายเป็นคราฟต์เบียร์บาร์สไตล์โฮมมี่ ตกแต่งด้วยเครื่องจักสาน เช่น กระด้งและสุ่มปลา แซมด้วยกระถางไม้ประดับเล็กน้อย จึงมีบรรยากาศสบายๆ อย่างเป็นกันเอง
โดยเครื่องดื่มมีคราฟต์เบียร์สดไทยและเอเชียให้บริการจำนวน 20 แท็ป ซึ่งจะมีเปลี่ยนรายการเบียร์ไปเรื่อยๆ และยังมีคราฟต์เบียร์หลากยี่ห้อจำหน่ายทั้งแบบขวดและกระป๋องจำนวน 45 ชนิด สามารถลองจิบชนิดต่างๆ สับเปลี่ยนไปได้ตลอดคืนโดยไม่มีเบื่อ นอกจากนี้ยังมีค็อกเทล สปิริต และซอฟต์ดริ้งให้บริการ
สำหรับอาหาร เสิร์ฟอาหารทานเล่นไทยที่นำมาดัดแปลงแต่ยังคงรสชาติที่เราคุ้นเคยไว้ เช่น ทอดมันปลากระเบื้อง (120 บาท) เสิร์ฟคู่กับอาจาด และ ปีกไก่ชุบแห้งทอดสมุนไพร (140 บาท) ซึ่งอาหารรสชาติไม่จัดเช่นนี้ เมื่อทานคู่กับเบียร์ประเภทลาเกอร์ จะเข้ากันเป็นอย่างมาก
Over Seoul
เมื่อความถนัดและความชอบของหุ้นส่วนแต่ละคนด้านการทำบาร์ และวัฒนธรรมเคป็อปมารวมกัน เกิดเป็นนีออนบาร์ปูนเปลือยดิบๆ ที่สาวกเค-ป็อปสามารถคาดหวังเพลงจากศิลปินที่ตัวเองชื่นชอบได้ เพราะร้านเปิดเพลงเกาหลีฮิตๆ ตั้งแต่ปีค.ศ. 2007 เป็นต้นมา เป็นประจำทุกวัน โดยวันศุกร์-เสาร์ จะมีดีเจมามิกซ์สดให้ทุกคนได้เต้นกันไม่หยุดตั้งแต่สามทุ่มครึ่งจนถึงเวลาร้านปิดเลยทีเดียว
นอกจากเพลงและการตกแต่งร้านที่ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งชิลล์อยู่กลางกรุงโซลแล้ว อาหารและเครื่องดื่มก็ต้องเป็นสไตล์เกาหลีอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งอาหารส่วนใหญ่นำมาปรับสูตรให้เข้ากับลิ้นคนไทยมากขึ้น จึงมีความเข้มข้นจัดจ้านมากกว่า
เมนูที่เราได้ลองและคิดว่าไม่ควรพลาด คือ หมูสามชั้นปลาร้าเกาหลีกระทะร้อน (201 บาท) ข้าวกล่องโรงเรียนหรือโทชิรัก (221 บาท) ที่ต้องเขย่าให้เข้ากันก่อนทาน ซุปไข่ปลา (321 บาท) และบะหมี่เย็นเกาหลี (181 บาท) ที่ปรุงให้มีรสจัดขึ้น โดยเสิร์ฟคู่เครื่องเคียงหลายชนิด สำหรับเครื่องดื่มมีทั้งโซจู มักกอลลี ค็อกเทล เบียร์ และวิสกี้
พิเศษคือ Yogurt Soju (341 บาท) โซจูที่นำมาผสมนมเปรี้ยว น้ำอัดลม และอื่นๆ ที่เป็นสูตรเฉพาะของร้าน และ Makgeolli Original (321 บาท) มักกอลลีหรือไวน์ข้าวรสดั้งเดิมที่เสิร์ฟในกาสีขาวสุดน่ารัก
Frank Mansion
บางคนอาจเคยไปนั่งชิลล์ที่ Frank Mansion มาบ้างแล้ว เพราะเปิดให้บริการแบบซอฟต์โอเพนนิ่งมาตั้งแต่เดือนมีนาคม แต่ทางร้านพึ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ที่แห่งนี้เป็นบาร์ที่เรียกได้ว่าครบครัน ทั้งอาหาร เครื่องดื่ม และดนตรี ในบรรยากาศสบายๆ สไตล์อินดัสเทรียลลอฟต์เล็กๆ สามารถมองย่านอารีย์ในมุมสูงได้อย่างถนัดตา
ทางร้านเสิร์ฟอาหารฟิวชั่นหลากหลาย และค็อกเทลซิกเนเจอร์ทั้ง 8 ตัว ที่รังสรรค์ขึ้นมาใหม่ทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีเบียร์สดที่ดื่มง่าย ให้ทุกคนได้จิบพลางฟังดนตรีสดที่หลากหลาย ทั้งไทยและสากลแนวโซล อินดี้ร็อก แจ๊ส อาร์แอนด์บี ที่เล่นเป็นประจำทุกวันตั้งแต่เวลาหนึ่งทุ่มครึ่งถึงห้าทุ่มครึ่งอย่างเต็มอิ่ม
Saucey Chicken and Beer Bomb
ไก่ทอดกับเบียร์ เป็นการจับคู่ที่ทุกคนลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘ลงตัว’ ซึ่งร้าน Saucey (ซอสซี่) ในย่านสาทรเป็นหนึ่งตัวเลือกใหม่ที่พร้อมเสิร์ฟความอร่อยและความสนุกให้ทุกคน ในบรรยากาศบีชบาร์ ที่มาจากความชอบทำกิจกรรมกลางแจ้ง และการท่องเที่ยวของทีมหุ้นส่วน จึงดีไซน์ร้านให้เป็นพื้นที่ที่คนในเมืองสามารถมาพักผ่อนที่บาร์ริมทะเลจำลองแห่งนี้ได้
พระเอกของร้านคือน่องไก่และปีกไก่ทอด 7 รส ที่คิดสูตรและทำเองทั้งหมด ได้แก่ ออริจินัล ฮ็อตบาร์บีคิว แอฟริกันเทอริยากิ แจ่วบอมบ์ ซอสซี่ซิกเนเจอร์ โซลซอส และบัฟฟาโล่วิงส์ (เริ่มต้นที่ 6 ชิ้น/159 บาท) ซึ่งเรียกได้ว่าซอสซี่หลากรสตามความตั้งใจของร้านจริงๆ
และหากพระเอกคือไก่ทอด แน่นอนว่านางเอกคือเบียร์บอมบ์ (คือการนำแก้วช็อตวางบนตะเกียบบนแก้วเบียร์ จากนั้นทุบโต๊ะให้แก้วช็อตตกลงไป แล้วรีบดื่มให้หมดแก้ว) โดยมีเบสให้เลือกเป็นเบียร์หลากแบรนด์และแอปเปิลไซเดอร์ ส่วนช็อตมีทั้งสาเก อูเมะชู โซจู เรดบูล จิน และเยเกอร์ไมสเตอร์ (เริ่มต้นแก้วละ 190 บาท) ที่เราสามารถดื่มเล่นกับเพื่อนฝูงได้อย่างสนุกสนาน
นอกจากนี้ยังมีสลัชชี่ผลไม้ (ที่ใส่วอดก้าเพิ่มลงไปหลังตะวันตกดิน) และค็อกเทลหลากเมนูให้เลือกดื่ม ในระหว่างเดียวกันก็เพลิดเพลินไปกับเพลงแนวดิสโก้เล็กๆ ซึ่งจะมีดีเจมามิกซ์ให้ฟังกันสดๆ เป็นประจำทุกวันศุกร์และเสาร์ ไม่แน่ว่าทุกคนอาจจะได้แหล่งแฮงก์เอาต์ใหม่เป็นร้านไก่ทอดกับเบียร์แห่งนี้ก็เป็นได้
Kuthai Bar
หลังจากประทับใจการใช้ข้าวของท้องถิ่นในสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย แล้วรู้สึกว่าของไทยมีให้เล่นหลากหลายไม่แพ้กัน เช่น เสื่อกก เก้าอี้หวาย ขันโตกหวาย ฯลฯ จึงเกิดเป็น Kuthai Bar (กูไทยบาร์)
บาร์ที่นำเสนอด้านที่สนุกสนานและโมเดิร์นของไทย การตกแต่งร้าน เมนูอาหารและเครื่องดื่มจึงถูกออกแบบในคอนเซ็ปต์ Thai with a Twist เช่น นำชาไทยจากภาคเหนือมาอินฟิวส์กับผลไม้ตามฤดูกาล มารังสรรค์เป็นค็อกเทลซิกเนเจอร์หลากเมนู (ซึ่งเบสเป็นสปิริตส์ไทยทั้งหมด)
เราได้ลอง Plum Wave (370 บาท) จินที่นำชาบ๊วยมาอินฟิวส์ ผสมกับไข่ขาว เลมอน และวานิลลา มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ส่วนเมนูเครื่องดื่มเป็นสตรีทฟู้ดของไทยที่มีการนำเสนอและจัดจานอย่างน่าสนใจ เช่น คอหมูย่าง ลาบหมู ไส้กรอกอีสาน ยำวุ้นเส้น ปิ่นโตเซ็ต รวมถึงกุ้งแช่น้ำปลา (180 บาท) ที่ใส่ในขันเงินจิ๋วแล้วเสิร์ฟบนกระด้งไม้ไผ่สุดน่ารัก
ความพิเศษคือทุกวันศุกร์จะมีดนตรีสดโดยใช้เครื่องดนตรีไทยอย่างระนาดหรือขลุ่ย มาเล่นเพลงสากล ร่วมกับกีตาร์หรือกลอง ซึ่งมอบประสบการณ์ทางดนตรีแนวใหม่ให้ทุกคนได้อย่างแน่นอน
ในวันเสาร์มีดีเจมาเล่นเพลงอาร์แอนด์บีและฮิปฮอปยุค 90’s-2000’s ฟังสบาย เป็นที่น่าเสียดายว่ากูไทยบาร์เป็น Pop-up Project ร้านจะเปิดให้บริการจนถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์ปี 2562 เท่านั้น หลังจากนั้นจะไปป็อปร้านที่บริเวณอื่นต่อไป (ซึ่งก็ต้องติดตามกันต่อไปว่าจะไปเปิดบาร์เท่ๆ ที่ย่านไหน ให้เราได้ตามไปชิลล์ต่อ)
Baby Bar Bangkok
เพื่อสร้างความคอนทราสต์ให้กับโรงแรมที่มีคาแร็กเตอร์ของชายหนุ่มสุดเท่อย่างคราฟต์แมนโฮเทล จึงเกิดเป็นคาเฟ่และบาร์ที่เป็นตัวแทนของหญิงสาวที่มีหลายมุม ได้แก่ Innocent Baby โซนบาร์กาแฟด้านนอกที่เสิร์ฟกาแฟ ชานมไข่มุก และออลเดย์เบรกฟาสต์
เมื่อตะวันใกล้ลับฟ้าก็ถึงเวลาของ Sassy Baby โซนค็อกเทลบาร์ด้านใน ซึ่งการตกแต่งร้านโดยรวมจะมีสไตล์เรโทรอินดัสเทรียลที่ให้กลิ่นอายของเวส แอนเดอร์สัน ใช้โทนสีชมพูอมส้มและประดับด้วยม่านเพื่อสร้างความชิคและเซ็กซี่ให้กับเบบี้ บรรยากาศถูกสร้างให้สนุกด้วยเพลงแนวโซลฟูล อิเล็กโทรนิกส์ บริทป็อป แจ๊ส คละกันไปในแต่ละวัน โดยทุกวันศุกร์จะมีดนตรีสดมาเล่นเพลงป็อปติดหู ตั้งแต่เวลาสองทุ่มถึงห้าทุ่ม
เมนูอาหารเป็นไทยทวิสต์ทั้งหมด ที่น่าลองคือ Zaap Oyster (90 บาท/ชิ้น) หอยนางรมสด ท็อปด้วยซอสและเครื่องเคียงแบบไทย Shrimp Paste with Salted Egg Spaghetti (185 บาท) สปาเก็ตตี้มันกุ้งไข่เค็ม Fried Gyo with Kani Miso Dip (180 บาท) เกี๊ยวทอดมันปูราดซอสมิโซะสูตรพิเศษ ท็อปด้วยไข่ปลาแซลมอน
ส่วนเครื่องดื่มเน้นค็อกเทลซิกเนเจอร์ที่ชื่อเมนูล้วนเกี่ยวข้องกับความเป็นเบบี้ทั้งหมด เช่น Grumpy Daddy, Baby Shower, Birthday Suit, Friend Zone ฯลฯ ที่น่าสนใจคือ Day Dreaming ( 300 บาท) ดร็อปชู้ตเตอร์ที่เบสด้วยวอดก้า ก่อนหยดไซรัป วิเคียวร์ ไวน์ น้ำมะนาว และประดับขอบแก้วช็อตด้วยกลิตเตอร์ทานได้ ซึ่งมีสีสันน่ารักสดใสเป็นอย่างมาก
Felicita Rooftop Bar & Grill
Felicita เป็นบาร์และร้านอาหารเมดิเตอร์เรเนียน ที่มีเรื่องราวเบื้องหลังจากชื่อของหญิงสาวผู้เป็นสายลับรัสเซีย มีร้านอาหารเล็กๆ อยู่ในสถานีรถไฟของปารีส ซึ่งขายดิบขายดีด้วยรสชาติอันแสนอร่อย จากนั้นมิสเฟลิซิต้าได้ย้ายมาอยู่เมืองไทย เกิดเป็นบาร์และร้านอาหารแห่งนี้ขึ้น
เมื่อเดินออกจากลิฟต์ เราจะพบภาพวาดของมิสเฟลิซิต้าโดดเด่นอยู่บริเวณหน้าร้าน การตกแต่งภายในร้านมีสไตล์ฝรั่งเศสในโทนสีน้ำเงิน-ดำ โดยแบ่งโซนระหว่างห้องอาหารและบาร์อย่างชัดเจน บริเวณบาร์ด้านนอกมีสระว่ายน้ำของโรงแรมที่คั่นกลางระหว่างเราและทัศนียภาพของกรุงเทพฯ ยามค่ำคืน
ขณะเดียวกันก็สามารถจิบค็อกเทลซิกเนเจอร์ที่คิดค้นขึ้นมาเป็นพิเศษอย่าง Tiki Cocktails เมนูที่น่าลองคือ Jerrito Tequila (350 บาท) ที่มีส่วนผสมของมะนาว น้ำส้ม อะเพอรอล และเกลือ มีรสเค็มเปรี้ยวหวาน ซึ่งเข้ากับอาหารเมดิเตอร์เรเนียนลงตัว
นอกจากนี้ยังมีเบียร์ ไวน์ แซงเกรีย สปิริตส์ สมูตตี้ และอีกมากมายให้เลือกดื่ม บรรยากาศสบายๆ ถูกทำให้มีสีสันขึ้นด้วยเพลงแนวเฮาส์จากดีเจที่จะมาเล่นสดเป็นประจำทุกวันศุกร์และเสาร์ ตั้งแต่เวลาสองทุ่มเป็นต้นไป
Trap Thonglor
เมื่อเดินเข้าไปด้านในสุดของอาคารลิเบอร์ตี้ พลาซ่า จะพบกราฟฟิตี้เท่ๆ บนกำแพงยาวตลอดแนว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของไนต์คลับดิบๆ แห่งใหม่อย่าง Trap Thonglor ที่เหมาะสำหรับการมาอาฟเตอร์ปาร์ตี้เพื่อจบค่ำคืนการสังสรรค์ของทุกคนอย่างสุดเหวี่ยง
ดีเจประจำและดีเจรับเชิญพิเศษที่มาเล่นนั้น ล้วนแล้วแต่มิกซ์เพลงเต้นสนุกอย่างอีดีเอ็ม แทร็ป เบส ฮิปฮอป และฮาร์ดสไตล์ ซึ่งหากเป็นคนหนึ่งที่เรียกตัวเองว่าเฮดแบงเกอร์แล้วล่ะก็ จะต้องถูกใจที่นี่แน่นอน เพราะมีโมโจให้เขย่าจนหนำใจ
นอกจากนี้ยังมีอีเว้นท์พิเศษที่เชิญดีเจจากต่างประเทศมาเล่นเพลงมันๆ เป็นประจำ โดยที่ผ่านมาได้ DJ Tuan, Dual Shark จากประเทศจีนมาโชว์ฝีมือกันไปแล้ว ที่ขาดไม่ได้คือเครื่องดื่ม ซึ่งที่ Trap แห่งนี้มีครอบคลุมทุกประเภท และมักจัดโปรโมชั่นสุดคุ้มเป็นประจำ
YOLO Ekkamai
ชื่อร้าน YOLO หรือ You Only Live Once มาจากความตั้งใจของทีมหุ้นส่วนที่อยากให้คนยุคมิลเลนเนียลใช้ชีวิตให้คุ้มอย่างสนุกสนานและมีสีสันที่บาร์แห่งนี้ ด้วยการนำเสนอดนตรีสดหลากสไตล์เป็นประจำทุกวัน ทั้งป็อป อาร์แอนด์บี หรืออะคูสติกฟังสบายที่ไม่เก่าจนเกินไป สามารถร้องตามได้
วงดนตรีที่มาเล่นจะไม่ซ้ำกันเลยทั้ง 7 วัน วันละสองวง และคั่นด้วยดีเจ ให้เราได้ใช้เวลาหลังเลิกเรียนหรือเลิกงานมานั่งฟังเพลงเพลินๆ ท่ามกลางบาร์สไตล์ลอฟต์ที่เป็นเหมือนบ้านแห่งนี้ ซึ่งเมื่อไปถึงร้าน จะแอบเห็นสาวๆ ต่างแชะภาพกับป้ายนีออนสีแดงหน้าร้านเป็นระยะ (ซึ่งเป็นเหมือนแลนด์มาร์กของ YOLO เลยทีเดียว)
หากต้องการอาหารเย็นเติมท้อง ก็สามารถทำได้ เพราะที่ YOLO เสิร์ฟอาหารไทยจานด่วน และอาหารทานเล่น เช่น ข้าวคอหมูย่าง ยำวุ้นเส้นทะเล ผัดขี้เมา วันคอหมูรมควัน ซี่โครงบรั่นดี ปีกไก่ไวน์แดง ฯลฯ
ส่วนเมนูเครื่องดื่มมีครอบคลุมแทบทุกชนิดพร้อมให้บริการ ได้แก่ วิสกี้ วอดก้า จิน เบียร์ ค็อกเทล และช็อตส์ และมักจัดโปรโมชั่นเป็นประจำ หากต้องการสังสรรค์แบบคุ้มๆ ก็สามารถสอบถามข้อมูลจากทางร้านเพิ่มเติมได้
Zay Music Bar
ในย่านกลางคืนที่เต็มไปด้วยไนต์คลับอย่างอาร์ซีเอ พึ่งได้ Zay Music Bar (เซที่มาจากเซไฮ, เซมาเจอเพื่อน) มาช่วยสร้างสีสันและเป็นตัวเลือกใหม่ให้กับขาเที่ยว ด้วยการเป็นบาร์ดนตรีสดในสไตล์ร่วมสมัย (ที่แอบมี Installation Art เก๋ๆ ติดไว้บนเพดาน) เน้นเพลงฮิตสากลและไทยเก่าตั้งแต่ยุค 80’s จนถึงเพลงใหม่ในปัจจุบัน โดยวงดนตรีที่มาเล่นทั้ง 7 วันจะมีแนวการเล่นที่แตกต่างกัน สำหรับคืนวันศุกร์จะมีวงดนตรีสดถึง 3 วงเตรียมเล่นเพลงสนุกๆ ให้เราฟังตั้งแต่สองทุ่มเป็นต้นไป
ที่แห่งนี้เหมาะสำหรับการมีมื้อเย็นหลังเลิกงานแล้วต่อด้วยการแฮงก์เอาต์กับกลุ่มเพื่อนโดยไม่ต้องเปลี่ยนร้าน เพราะเสิร์ฟอาหารไทยทั้งทานเล่นและจานหลัก เช่น มาม่าหม้อไฟทะเลเดือด (170 บาท) แหนมกระดูกอ่อน (130 บาท) หมึกคั่วพริกเกลือ (160 บาท) หรือยำตะไคร้ไก่กรอบ (150 บาท) ซึ่งเมนูนี้ทางร้านคิดค้นขึ้นเองโดยการนำไก่มาฉีกแล้วทอด ก่อนมาปรุงเป็นยำตะไคร้รสไม่จัดจนเกินไป
ส่วนเมนูเครื่องดื่มมีตัวเลือกหลายหลายชนิดในราคาที่จับต้องได้ ไม่ว่าจะเป็น เบียร์ วิสกี้ สปิริตส์ ค็อกเทล และไวน์ นอกจากนี้ยังมีฉายเกมการแข่งขันฟุตบอลเป็นประจำ และมีโต๊ะพูลรองรับให้ทุกคนได้ดวลกับเพื่อนอย่างสนุกสนาน
Clouds Across The Moon
บาร์สุดฮิปแห่งนี้ซ่อนตัวอยู่ในย่านพระโขนง ซึ่งชื่อร้านและมู้ดการตกแต่งล้วนได้แรงบันดาลใจมาจากเพลงซินท์ป็อปที่ปล่อยในปีค.ศ. 1985 โดยวง RAH Band เพลง Clouds Across the Moon ร้านจึงมีกลิ่นอายแบบวินเทจไซไฟ ด้วยเฟอร์นิเจอร์เก่า ของเล่นโบราณ ไฟเชอรี่หลากสี ดวงจันทร์จำลองที่ส่องสว่างโดดเด่นอยู่ภายในร้าน และโปรเจคเตอร์ยิงเข้ากำแพงที่ฉายหนังเพลงหรือหนังไซไฟยุค 80’s จึงทำให้บริเวณร้านทั้งชั้นแรกและชั้นลอยเต็มไปด้วยมุมน่ารักๆ มากมาย
บรรยากาศภายในร้านค่อนข้างเป็นกันเอง สามารถมานั่งชิลล์พลางจิบค็อกเทลหลากเมนูได้อย่างเพลิดเพลิน โดยมีซิกเนเจอร์ค็อกเทลที่ออกแบบขึ้นมาใหม่ทั้งหมด 6 ตัว ที่น่าลองคือ Honeymoon (240 บาท) สีเหลืองสด มีส่วนผสมของเตกีล่า ทริปเปิลเซ็ค น้ำผึ้ง โหระพา และน้ำมะนาว ที่ไม่เข้มจนเกินไป ดื่มง่าย
นอกจากนี้ยังมีคลาสสิกค็อกเทล ช็อตส์ เบียร์ ไวน์ และสปิริตส์ต่างๆ ส่วนเมนูอาหารเน้นเมนูทานเล่นง่ายๆ ได้แก่แฮชบราวน์ เฟรนช์ฟรายส์ ปีกไก่ทอด ข้อไก่ทอด ถั่วแระญี่ปุ่น และป็อปคอร์น
ที่บาร์แห่งนี้เปิดเพลงหลากหลายแนว ไม่ว่าจะเป็นดิสโก้ อินดี้ป็อป ซินท์ป็อป บริทป็อป ฟังก์ โซล เพลงยุค 90’s ฯลฯ แต่ทุกวันศุกร์และเสาร์ส่วนใหญ่จะเป็นเพลงอินดี้ป็อป-ร็อก ความพิเศษคือจะมีวง The Jukks มาเล่นดนตรีสด ซึ่งโคฟเวอร์เพลงบริทป็อปและบริทร็อกเป็นประจำทุกเดือน เดือนละสองครั้ง
WhAB - While Away Bar-fe
บาร์ดนตรีสุดชิคติด BTS สนามเป้า เดินทางสะดวกสบายยืนหนึ่ง ลง BTS ปุ๊บ เจอปั๊บ ตัวร้านตกแต่งด้วยไฟนีออนสีแดง มาพร้อมดนตรีหลากหลายสไตล์ให้ฟังชิล ๆ ตั้งแต่ Indie Folk, Modern Rock, New Wave, Indie Pop/R&B, Soul Funk ไปจนถึง Reggae Ska และอีกมากมาย
ส่วนสายกินจะต้องถูกใจสิ่งนี้แน่นอน เพราะตอนนี้ที่ร้านมีเมนูใหม่ชื่อ International Pub Food ซึ่งเป็นการรวมอาหารจาก UK, USA, Mexico มาด้วย โดยได้ consult จากเชฟแอ๋ จากร้านยุ้งฉาง เมนูในรูปก็คือ WhABstock Festival Platter ซึ่งได้ชื่อมาจาก Woodstock Music Festival เฟสติวัลในตำนานของอเมริกา เป็น platter ที่รวมอาหารสไตล์ Pub Food ของที่ร้านไว้ด้วยกันใน 1 ถาด สำหรับเวอร์ชั่นไทยก็มีเช่นกันชื่อว่า WhAB Mountain Platter ชื่อมาจาก Big Mountain ในไทยนั่นเอง
โปร Ladies Night ของที่นี่มีทุก ๆ วันพุธ ซึ่งสาว ๆ สามารถเอ็นจอยโปรค็อกเทลเด็ด ๆ ซื้อ 1 แถม 1 ได้เลย คุ้มสุด
The Lab Baar
The Lab Baar ค็อกเทลบาร์และร้านอาหารสไตล์ Futuristic แห่งนี้ พึ่งย้ายจากย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มายังบ้านหลังใหม่บริเวณราชพฤกษ์ ที่ออกแบบและตกแต่งร้านได้เรียบง่ายแต่โดดเด่น ด้วยไฟนีออนเปลี่ยนสีได้ และไฟสลัวๆ ของร้าน จึงให้ความรู้สึกราวกับนั่งอยู่ในฉากเท่ๆ ของภาพยนตร์ไซไฟสักเรื่อง พลางจิบซิกเนเจอร์ค็อกเทลที่รังสรรค์ขึ้นมาใหม่ หรือคลาสสิกค็อกเทลกว่าสิบรายการที่เราคุ้นชิน ซึ่งเราสามารถพูดคุยกับบาร์เทนเดอร์ปรับแต่งรสชาติเครื่องดื่มให้ถูกใจเราได้อย่างเป็นกันเอง
ส่วนเมนูอาหารที่ร้าน ส่วนใหญ่เน้นอาหารตะวันตกและอเมริกัน มีทั้งทานเล่นและเมนคอร์ส เช่น สปาเก็ตตี้ ซี่โครงหมูบาร์บีคิว สลัด ปีกไก่ทอด เฟรนช์ฟรายส์ ฯลฯ เรียกได้ว่าครบครัน เพราะสามารถมามีมื้อเย็นดีๆ แล้วต่อด้วยแฮงก์เอาต์ จิบค็อกเทลกับเพื่อนฝูงต่อได้โดยไม่ต้องย้ายร้านไปไหนนั่นเอง