Together Festival กลับมาอีกครั้งมันส์กว่าทุกปี กับสุดสัปดาห์ที่มีพร้อมทั้ง Techno, House และ Trap แบบเต็มสูบ ส่งตรงความเดือดถึงใจสายย่อทุกแนว
ประสบการณ์นั้นเป็นสิ่งที่ได้มาโดยการแลกกับเวลา ยิ่งใช้เวลากับอะไรมากเท่าไหร่ เราจะยิ่งเกิดความคุ้นเคยและกลายเป็นมืออาชีพอย่างเต็มตัวในที่สุด เช่นเดียวกับเหล่าผู้จัดงานของ Together Festival ที่ใช้เวลาคลุกคลีอยู่กับการจัดงานเทศกาล EDM มานานนับปี ทำให้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพวกเขานั้นเป็นทีมที่มากด้วยประสบการณ์และพร้อมที่นำเสนออีเว้นท์ที่ดีที่สุดให้กับพวกเราเสมอ และเมื่อวันที่ 4-5 พฤษภาคม 2018 ที่ผ่านมา ณ ไบเทค บางนา เหล่าสายปาร์ตี้ชาวไทยและต่างชาติกว่าหลายพันชีวิตได้มีโอกาสมารวมตัวกัน ด้วยการแต่งตัวหลากสีสันโดดเด่นไปทั่วทั้งฮอลล์ พร้อมทั้งโบกสะบัดธงประจำชาติและชูป้ายพร้อมส่งเสียงให้กำลังใจดีเจขวัญใจอย่างสุดพลัง ในงาน Together Festival 2018 ที่ต้องบอกเลยว่าประสบความสำเร็จไปอย่างท่วมท้นยิ่งกว่าปีไหนๆ หากคุณพลาดงานในปีนี้ไป ไม่เป็นไร เรามี recap ของเรื่องราวทั้งหมดมาให้คุณได้สัมผัสกัน!
อยากรู้ไหมว่าคืนแรกนั้นเดือดทะลุปรอทขนาดไหน? ไปดูวิดีโอ Day 1 Recap ของเรากันเลย!
ในปีนี้ทาง Together Festival ยังคงธีมที่เป็น modern minimalism ไว้เหมือนเดิม แต่ได้ยกระดับการออกแบบเวทีและโปรดักชั่นแสงสีเสียงขึ้นกว่าปีก่อนๆ ไปอีกหลายเท่า โดยโครงสร้างหลักที่โค้งอย่างสวยงาม ทำให้เราทุกคนต้องอ้าปากค้างในขณะที่เดินเข้ามาไปตามๆ กัน ตัวเวทีนั้นถูกสร้างขึ้นตรงจุดปลายสุดของฮอลล์ มีทั้งแสงไฟมากมายที่ยิงไปทั่วทั้งเพดานและแผงจอภาพขนาดยักษ์จำนวนมากที่เรียงรายกันอย่างประณีต ทำให้เกิดเป็นฉากหลังทรงโค้งอันสวยงาม เรื่องลูกเล่นของทางอีเว้นท์ได้รับการดูแลและกำกับจากทีม audiovisual ฝีมือดี ทำให้มีการแสดงแสงสีอันสุดตระการตาตลอดทั้งงาน ไม่ว่าจะเป็นแสงเลเซอร์หลากสีที่ยิงออกมาอย่างไม่ขาดสาย ปืนยิงเศษกระดาษสีระยิบระยับ หรือเครื่องพ่นควันพลังสูง ต่างทำให้ประสบการณ์การปาร์ตี้ของผู้เข้าร่วมงานในปีที่ดีงามสุดๆ และที่ลืมไม่ได้เลยคือตัวยิงประกายไฟและการแสดงพลุที่ยิงออกมาในทุกจุดพีค ทำให้ได้รสชาติของความฟินเข้าไปเต็มๆ ลองไปสัมผัสความสุดยอดเหล่านี้ผ่านรูปภาพต่างๆ ที่เราเก็บเกี่ยวมาด้านล่างนี้ได้เลย!
หนึ่งในไฮไลท์ของงานที่เราไม่พูดถึงไม่ได้คงเป็นเวทีที่สอง ที่นำเอาสุดยอดแห่งดนตรี Bass มาให้เราได้สัมผัสกันในคืนแรก ถึงแม้เรื่องไซส์ของเวทีจะสู้ตัว Main Stage ไม่ได้ แต่ก็จัดออกมาได้อย่างเก๋ไก๋และอลังการงานสร้างเลยทีเดียว ศิลปินมากฝีมืออย่าง Brohug, Snail และ 4B ต่างผลัดกันยกระดับความเดือดกันแบบหนักหน่วง ทำให้โซนยืนกลายเป็นแหล่งชุมนุมของผู้นิยม Moshpit และโซนรั้วหน้าเวทีกลายเป็นจุดรวมตัวของเหล่าสายโยกไปเลย ทรีโอ้ดีเจชาวสวีเดนเป็นฝ่ายจุดประกายความมันส์ของคํ่าคืนด้วยเมโลดี้ที่เป็นเอกลักษณ์ของเพลงแนว Future House ตามมาด้วย Snails ที่พาทุกคนปลดปล่อยพลังงานออกมาอย่างเต็มที่ด้วยมิกช์แนว “Vomitstep” ของเขา ตามมาด้วย 4B ที่ดึงเอาเสียงแนว Jersey Club อันเป็นเอกลักษณ์ของเขาออกมาใช้อย่างเต็มที่ พร้อมทั้งปล่อยเพลงล่าสุดอย่าง “Whistle” ที่เป็นผลงานของการร่วมงานระหว่างเขาและ Teez off จากค่ายเพลง Premiere Classe ของ DJ Snake มาให้เราได้สนุกกัน
ในขณะที่เหล่าศิลปินที่ Main Stage ทุกคนต่างก็มาจัดต็ม และใส่กันแบบไม่ยั้ง ไม่ว่าจะเป็น Alan Walker, Carta, Sunnery James and Ryan Marciano, Hardwell, GTA หรือ Sander van Doorn แต่เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าจุดพีคสุดของงานในทั้งสองคืนนั้นต้องยกให้ Thomas Newson, Carnage และ Marshmello
ถึงจะเป็นการเข้าร่วมงานในนาทีสุดท้ายแต่ Thomas Newson ก็ได้กลายเป็นหนึ่งในดีเจขวัญใจชาวไทยไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งเพลงแนว House จังหวะโดนใจ และเพลงใหม่ล่าสุดอย่าง “Ragga” ที่ไม่ได้เพียงไปอยู่บนยอดตารางจัดอันดับของ Beatport แต่ได้เข้าไปอยู่ในใจของเราทุกคนแล้วเช่นกัน พอถึงตาของขาประจำอย่าง Carnage ทุกคนพากันส่งเสียงเฮกันอย่างสุดพลัง และเขาก็ไม่ทำให้เราผิดหวังพร้อมเริ่มแสดงผลงานของเขาที่ร่วมมือกับดีเจระดับหัวแถวอย่าง Timmy Trumpet, KSHMR และ Showtek ในทันที เล่นไปได้สักพักเขาก็ทำให้เราทุกคนต้องนํ้าตาซึมไปกับ tribute สุดซึ้งที่มีให้กับ Avicii เพื่อนรักของเขาที่ลาโลกไปก่อนวัยอันควรและดีเจในตำนานที่เราทุกคนจะไม่มีวันลืม ในช่วงท้ายเขาก็ดึงพวกเราเข้าสู่โหมดเดือดอีกครั้งด้วยเพลง Trap พลังสูง และ drop แบบ psy-Trance สุดแนวที่ไม่เหมือนใคร
เปิดมายิ่งใหญ่ยังไงบอกเลยว่างานนี้ปิดฉากได้สุดยอดกว่าหลายเท่า เพราะในขณะที่ดีเจคนสุดท้ายก้าวขึ้นมาบนเวที ผู้คนทั่วฮออล์ก็ต่างมารวมตัวกันพร้อมหน้าจนล้นส่วน Main Stage ออกมา ดีเจคนสุดท้ายนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นโปรดิวเซอร์ระดับตำนานอย่าง Marshmello นั่นเอง เมื่อเขาเปิดเพลงฮิตอย่าง “Alone”, “Silence” และ “Wolves” ทุกคนก็ร้องตามกันอย่างสุดเสียง ส่วนตัว Visual Graphics ที่ได้รับการดูแลจากทีมงานระดับโลกของ Gestal Theory ก็ออกมาสร้างสีสันและความสนุกบนจอยักษ์ด้านหลังอย่างไม่ขาดสาย เพิ่มอรรถรสของประสบการณ์ปาร์ตี้ให้กับทุกคนในงานกันอย่างเต็มอิ่ม เมื่อสิ้นสุดเพลง “Friends” ที่เป็นเพลงสุดท้ายในเซ็ตของ Marshmello ก็มีการยิงประกายไฟจนสว่างไปทั้งฮอลล์พร้อมส่งท้ายด้วยแอนนิเมชั่นตัวการ์ตูนสีสันสว่างสวยงามมากมายบนจอ เมื่อไฟในฮอลล์เปิดขึ้นก็ถึงเวลาที่สายปาร์ตี้ทุกคนต้องแยกย้ายกันกลับบ้าน แต่ก็รู้ดีว่าทุกคนที่ได้มาร่วมงานนี้กลับบ้านไปพร้อมหัวใจที่เต็มอิ่ม และความทรงจำอันแสนพิเศษที่ไม่ว่าจะนึกถึงเมื่อไหร่ก็ทำให้เรายิ้มได้เสมอ
ใครไม่อยากพลาดกับความมันส์แบบหลุดโลกในแบบฉบับของ Together Festival ในปีหน้า ก็อย่าลืมติดตามข้อมูลข่าวสารและอัพเดทต่างๆ ผ่านทางโซเชียลของพวกเขา!