[Recap] It’s The Ship 2016: 4 วัน 3 คืนแห่งความ มันส์ มันส์ แล้วก็มันส์
การเริ่มจำหน่ายบัตรของงาน It’s The Ship 2016 เมื่อเดือน มีนาคม ในขณะที่ตัวงานจัดในขึ้นช่วงวันที่ 4-7 พฤศจิกายน ถือว่าเป็นการเปิดขายบัตรล่วงหน้าที่นานพอสมควร แต่สำหรับคนที่ได้ไปสัมผัสงานเทศกาลดนตรีบนท้องทะเลที่ใหญ่ที่สุดในเอเซียงานนี้มาแล้ว จะรู้เลยว่าความมันส์ทั้งหมุดที่เกิดขึ้นในช่วงเวลา 4วัน 3คืน บนเรือลำยักษ์นั้น ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆเลย สำหรับเหล่าลูกเรือสายปาร์ตี้ทั้งหลาย ก็ต้องใช้เวลาเช่นกันในการเตรียมตัวเรื่องการเดินทางต่างๆ หาชุดแฟนซีแนวๆ และขัดผิวให้ผ่องใสไม่แพ้ใครบนเรือ
สิ่งที่ทำให้ It’s The Ship นั้นแตกต่างจากงานปาร์ตี้อื่น ไม่ใช่แค่เพราะงานจัดขึ้นบนเรือลำใหญ่สุดอลังเพียงอย่างเดียว แต่เพราะร่วมกับความจัดเต็มของตัวงาน ที่เรียกได้ว่ามันส์กันตั้งแต่หัวเรือยันท้ายเรือเลยก็ไม่เกินไป สำหรับคนที่ได้ร่วมงานเมื่อปี 2014 และ 2015 ที่ผ่านมาก็คงรู้กันอยู่แล้วว่างานนี้เค้าสุดขนาดไหน ส่วนงานในปี 2016 ที่เพิ่งผ่านมานี้มันส์แค่ไหนน่ะหรอ? เชื่อเถอะ ว่าขนาดกะลาสีเรือเองยังไม่คิดไม่ฝันเลย ว่ามันจะสุดอะไรได้ขนาดนี้ ซึ่งเรื่องนี้ก็ต้องยกเครดิตให้ Livescape ผู้จัดงานไปแบบเต็มๆ
แต่สำหรับใครที่พลาดโอกาสไป อาจจะเพราะลังเลจนทำให้ซื้อบัตรไม่ทัน หรือรู้ตัวอีกทีบัตรก็หมดซะแล้ว เลยต้องมานั่งตาลอยมอง Facebook page ของ It’s The Ship อยู่ที่บ้านก็ไม่ต้องเสียดายไป เพราะเรากำลังจะมาโม้ให้ฟัง ว่าถ้าปี 2016 มันส์ขนาดนี้ แล้วปี 2017 ที่คุณกำลังตัดสินใจ(ไม่ต้องคิดแล้วมั้ง ซื้อเลยเนอะ) จะมันส์ขนาดไหน เอาง่ายๆว่า ถ้างานที่ผ่านมาบนเรือชื่ออลังอย่าง Royal Caribbean International’s luxurious Mariner of the Seas สามารถยกดีเจกว่า 30 คนมาซัดกันได้ งานหน้าก็ต้องมีอะไรที่ดีขึ้นไปอีก จริงมั้ย
ว่าแล้วก็มาดูไฮไลท์ทั้ง 3 ไฮไลท์ของงาน It’s The Ship 2016 ในแต่ละวันกันดีกว่า
ไฮไลท์วันที่ 1
1) ขึ้นเรือมาก็มันส์ได้ทันที
หลายคนคงคิดว่าการทยอยขึ้นเรือลำใหญ่ตอนบ่ายสามโมงครึ่งบนน่านน้ำสิงคโปร์จะเป็นบรรยากาศแบบสงบๆสบายๆล่ะสิ ถ้าเป็นเรือสำราญตัวไปก็คงใช่ แต่อย่าลืมว่า It’s The Ship ไม่ใช่เรือสำราญทั่วไป เพราะที่เรือลำนี้ เมื่อก้าวเท้าขึ้นมาแล้วคงยากที่คุณจะนั่งอยู่นิ่งๆในห้องเพียงคนเดียว ขณะที่ทุกคนเริ่มปาร์ตี้กันแล้ว
ด้วยจำนวนลูกเรือทั้งหมดประมาณ 3,800 คน ทำให้งานปาร์ตี้ต้องจัดเต็มกันตั้งแต่ก่อนเรือออก ขึ้นก่อนก็มันส์ก่อนเลย
จุดที่ทำให้เรือสำราญปาร์ตี้ลำนี้สนุกขึ้นไปอีกก็คงเป็นเพราะบรรยากาศของผู้คนบนเรือ ที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ การที่ทุกคนมารวมตัวกันด้วยเหตุผลเดียวกัน ทำให้แค่เสียงเพลงเบาๆจากลำโพงตามทางเดิน ก็มีพลังมากพอที่จะทำให้ทุกคนรู้สึกสนุกจนต้องเดินไปเต้นไปแล้ว
2) Back-to-Back Sets จาก Dada Life และ Knife Party
ถือว่าต้องยกให้กับ Livescape เลยจริงๆ ที่จัดแจงให้ดีเจในวันแรกมากันแบบเต็มเม็ดเต็มเหนี่ยว ใครจะไปคิดล่ะ ว่าคืนแรกที่ขึ้นเรือไปจะได้ดู Dada Life กับ Knife Party เล่น back-to-back กันตั้งครึ่งชั่วโมง ทำให้ทุกคนมั่นใจว่างานนี้เค้าไม่อั้นเลยจริงๆ
ถ้าคุณคิดว่าการปาร์ตี้เป็นเวลา 3 ชั่วโมงติดแบบไม่มีพักบนเรือหนึ่งลำนั้นสุดแล้ว ลองนึกดูสิว่ายังมีอีก 3 เวทีที่กำลังปาร์ตี้ไปพร้อมๆกัน และทุกเวทีก็แน่นไปด้วยจำนวนคนพอๆกับเวทีหลักเลย ถ้านี่ยังฟังดูบ้าไม่พอ ลองจินตนาการเพิ่มเข้าไปอีก ว่าในกลุ่มคนเหล่านั้นมีหนุ่มๆซิกแพ็คล่ำๆ กับสาวๆในชุดบิกินี่น้อยชิ้น กำลังเต้นกันอย่างเมามันส์สิ
3) ยาวไปอีกกับปาร์ตี้ชุดหมี
แน่นอนว่างานใหญ่ๆแบบนี้คุณคงไม่พลาดที่จะแต่งตัวมาโชว์กันแบบหลุดโลก แต่อะไรจะดีไปกว่าการที่คุณไม่ต้องแต่งตัวบ้าๆเพียงคนเดียว เพราะ Onesie Party หรือปาร์ตี้ชุดหมี (ชุดแบบสวมทั้งตัว) ที่เวที Lotus Lounge จะทำให้คุณได้ร่วมทำตัวหลุดๆไปกับคนอีกนับร้อยตั้งแต่ตี 2 ถึงตี 5
ถึงแม้ว่าทุกคนจะใส่ชุดแปลกๆกันอยู่ แต่บอกเลยว่าเต้นได้มันส์จนลืมไปเลยว่าชุดนี่เต้นลำบากนะ
ไฮไลท์วันที่ 2
1) กิจกรรมยิบย่อยอีกมากมาย
หลังจากคืนแรกผ่านไปอย่างรวดเร็ว คุณก็จะตื่นมาพร้อมกับความรู้สึกที่ว่า ตอนนี้คุณได้ติดอยู่บนเรือลำนี้เรียบร้อยแล้ว และจะต้องอยู่ไปอีก 50 ชั่วโมงแบบไม่สามารถหนีไปไหนได้ บางคนอาจจะมีอาการเมาเรือพ่วงเข้ามาด้วยยิ่งทำให้มึนกันไปใหญ่ แต่หลังจากที่คุณได้อาบน้ำสบายๆจนสะอาดหมดจดแล้วเดินออกไปที่ดาดฟ้าเรือเพื่อรับลมเย็นๆแล้ว คุณก็จะรู้ทันทีว่า It’s The Ship ไม่ได้บังคับให้คุณต้องปาร์ตี้แบบลืมโลกไปตลอด 24 ชั่วโมง
สำหรับคนที่อยากพักผ่อนหย่อนใจแบบชิวๆในวันที่ 2 นั้น บนเรือก็มีกิจกรรมมากมายให้เข้าร่วม ตั้งแต่การแข่งขันกระโดดน้ำแบบ Belly Flop ที่ต้องเอาพุงแปะลงไปในน้ำเพื่อแข่งกัน คลาสโยคะแบบกลุ่ม การแข่งขันเบียร์ปองแบบทัวร์นาเม้นท์ และอีกมากมาย หรือถ้าใครอยากจะนอนชาร์จพลังกันยาวๆแล้วตื่นมาปาร์ตี้เลยก็ได้ เพราะโชว์ที่เร็วที่สุดของเวทีหลักนั้นเริ่มต้นกันตั้งแต่ช่วงบ่ายเลย
2) แวะปีนัง กับ Penang Street Carnival
ตั้งแต่เวลา 4โมงครึ่งไปจนถึง 5ทุ่ม ชาวเรือจะต้องทำการตัดสินใจครั้งใหญ่ ระหว่างว่าจะอยู่บนเรือ หรือจะลงจากเรือเพื่อเดินทางเข้าสู่ Penang Street Carnival ซึ่งถือเป็นโอกาสดีของนักเดินทางหลายๆคน ที่จะได้สัมผัสบรรยากาศแบบท้องถิ่นของปีนัง และเปลี่ยนสถานที่ปาร์ตี้จากบนเรือไปสู่ Street Carnival แห่งปีนังบ้าง
ที่ Street Carnival มีทั้งผับ บาร์ และร้านอาหารตั้งอยู่มากมาย บวกกับเสียงดนตรีจากทุกร้านที่ดังออกมาแบบไม่ยอมกัน ทำให้ Street Carnival เป็นย่านที่มีความคึกคักและมีชีวิตชีวามาก แต่ไม่ว่าจะสนุกขนาดไหนเมื่อถึงเวลาก็ต้องจากกัน เพราะถ้าใครหัวทิ่มเซไปเซมาอยู่จน 5ทุ่ม แล้วพลาดท่ากลับขึ้นเรือไม่ทันล่ะก็ บอกเลยว่ามีโอกาสได้กลายเป็นคนปีนังไปแบบไม่รู้ตัว
3) โชว์เดือดๆจาก Bangkok Invaders, Thaitanium, และ Far East Movement
หลังจากที่คลานกลับขึ้นเรือกันมาจากปีนังแล้ว บนเรือก็มีปาร์ตี้ ต่อด้วยปาร์ตี้ บุฟเฟ่ท์ ต่อด้วยปาร์ตี้ แล้วก็ปาร์ตี้กันแบบไม่หยุดไม่หย่อน ซึ่งจริงๆแล้วก็เป็นอย่างที่ทุกคนต้องการ แต่แล้วธรรมชาติก็คงเห็นใจร่างกายเรา และอยากให้เราพักบ้าง ก็เลยส่งฝนเทลงมาจนทำให้เวทีหลักต้องปิดลง
ถึงธรรมชาติจะอยากให้เราพัก เหล่า Livescape ผู้จัดงานก็ไม่ใช่ธรรมชาติ จึงได้ทำการเปลี่ยนลานน้ำแข็งให้กลายเป็นสถานที่สำหรับการปาร์ตี้แบบ semi-warehouse อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้การแสดงสดจาก Thaitanium มันส์ขึ้นไปอีก Far East Movement ก็ได้โอกาสกระโดดใส่ฝูงชนทำ crowd dive กันไป และเมื่อฝนก็หยุดลง การปิดท้ายจากชาว Bangkok Invader ก็ได้กลับไปผงาดที่เวทีหลัก สุดท้ายก็เหมือนเดิมคือ ไม่เช้าเราไม่นอน
ไฮไลท์วันที่ 3
ถึงที DJ Hoff aka The Hoff
บางคนตื่นขึ้นมาในวันที่ 3 ก็ยังสับสนว่าจริงๆแล้วที่ผ่านมาสองวันนี่ฝันไปรึเปล่า หลายคนยังนึกว่าตัวเองกำลังฝันอยู่ และยิ่งไปกันใหญ่เมื่อได้เจอ Hoff กำลังโชว์อยู่บนเวทีหลักแบบตัวเป็นๆ
ซึ่งสำหรับวันนี้นอกจาก David Hasselhoff แล้ว ก็ยังมี Sunnery James และ Ryan Marciano ที่มามิกซ์ซาวด์แบบ Jungle เข้ากับ tropical house และ Sander Van Doorn ที่มาร่วมปิดท้ายให้กับเซสชั่นในช่วงวัน เพื่อให้ทุกคนได้ไปแต่งตัวกันให้พร้อมกับงานกาลาร์กินเนอร์สุดหรูในช่วงเย็น
การแสดงสดจาก The Hoff และ Sexy Saxman ในงานกาลาร์ดินเนอร์
ถ้าคุณคิดว่างานกาลาร์ดินเนอร์ของ It’s The Ship จะเป็นงานเลี้ยงหรูๆทั่วๆไปที่มีเพลงบรรเลงจากเปียโนคลอคู่กับล็อบเสตอร์ฉ่ำๆ และเสต็กมีเดียมแรร์แล้วล่ะก็ ผิดถนัด! เพราะอย่าลืมว่าเรายังล่องอยู่บนเรือ It’s The Ship ทำให้กาลาร์ดินเนอร์ครั้งนี้ได้ The Hoff มาโชว์พลังเสียงอันสุดแกร่งกับเพลง “This is the Moment” ก็เคลิ้มไปตามๆกัน
ระหว่างที่ The Hoff กำลังแสดงอยู่ก็มี Sexy Saxman โผล่พรวดออกมาในชุดสุดเซ็กซี่ พร้อมกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะของ Playboy Thailand และเริ่มเป่าเพลง Careless Whisper ด้วยท่าทางที่เซ็กซี่สุดๆ ทำให้งานกาลาร์ดินเนอร์ครั้งนี้ไม่ช่การนั่งกินข้าวเย็นหรูๆ ฟังเพลงเบาๆแบบทั่วไป แต่เป็นการดินเนอร์แบบหรูหราที่ยังไม่ทิ้งกลิ่นความมันส์ของเหล่าลูกเรือสายปาร์ตี้ไป
3) ดูพระอาทิตย์ขึ้นร่วมกับเหล่าศิลปินบนเรือ
สำหรับคืนสุดท้ายนี้ แน่นอนว่าทุกคนตั้งใจที่จะจัดเต็มแบบไม่ต้องหลับต้องนอนกันอยู่แล้ว ซึ่งที่บอกว่า “ทุกคน” ก็เพราะว่าดีเจเองก็คิดแบบเดียวกัน ในระหว่างที่ทุกคนกำลังทุ่มเทให้กับค่ำคืนสุดท้ายกันอยู่นั้น ก็จะเห็นดีเจและศิลปินต่างๆเช่น Far East Movement และ Thaitanium กำลังปาร์ตี้กับคนดูกันอย่างเมามันส์ราวกับไม่อยากให้คืนนี้จบลงเช่นกัน
ส่วนเวทีหลักในคืนสุดท้ายก็เหวี่ยงกันแบบสุดๆกับการ back-to-back ระหว่าง Andrew Rayel, Ben Gold และ David Gravell ที่ทำให้ทุกคนลืมเวลาจนแสงแดดยามเช้าต้องมาเตือนกันเลยทีเดียว แต่ถ้าใครที่ความเช้าก็ล้มคุณไม่ได้ล่ะก็ บนเรือก็ยังมีเพลงคอยเปิดให้คุณเต้นไปจนกว่าเรือจะเทียบท่าเลย หรือจะเต้นลงเรือไปเลยก็คงไม่มีใครว่ากัน
มาถึงตรงนี้คงไม่ต้องถามกันแล้วเนอะ ว่า It’s The Ship 2016 ประสบความสำเร็จมั้ย ขนาดลูกเรือบางคนไม่ได้นอนมาหลายวันยังเดินยิ้มลงจากเรือเฉยเลย มั่นใจได้เลย ว่างานในปี 2017 จะต้องดีขึ้นไปอีกย่างแน่นอน และถ้าใครที่ตามอ่านมาจนถึงตรงนี้แล้วมั่นใจว่าปีหน้าจะไม่พลาด ก็อย่าลืมไปกดติดตามที่ Facebook page อย่างเป็นทางการของ It’s The Ship เพื่อรอดูข่าวสารต่างๆด้วยนะ ครั้งหน้าจะได้ไม่พลาด!
บทความโดย Tang Kalayanamit
รูปถ่ายโดย Surapas Amornwatee
แปลโดย Thammachad Duriyapaneet