10 เหตุผลที่ทำให้เราอยากกลับไป 808 Festival อีกในปีหน้า
คุณคงจะยังจำกันได้ถึงเวลาที่ได้ไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ ปู่ยาตายายที่น่ารัก และท่านได้มอบของขวัญต่างๆมากมายเพื่อแสดงถึงความรัก ความสนใจที่มีให้กับคุณ และก็คงจะจำได้เหมือนกันเวลาที่ต้องบอกลา แยกย้ายกันกลับบ้าน มันช่างหวานอมขมกลืนเมื่อเราต้องแยกจากสิ่งที่แสนดีและค่อยๆกลับเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริง ซึ่งนั่นก็เป็นความรู้สึกเดียวกันกับตอนที่พวกเราเดินออกมาจาก BITEC ในคืนก่อนวันหยุดรัฐธรรมนูญหลังจากที่ได้ไปมันส์จนลืมโลกไปเลย
ถึงแม้ว่าเราจะอยากเก็บความทรงจำและความรู้สึกดีๆเหล่านั้นไว้กับตัวเองมากแค่ไหน เมื่อเราเลือกที่จะเดินมาสาย EDM แล้วนั้น เราก็ควรที่จะถือคติว่าการแบ่งปัน เป็นวิธีที่แบ่งความสุขให้กันและกันได้ดีที่สุดและนี่คือ “10 เหตุผลที่ทำให้เราอยากกลับไป 808 Festival อีกในปีหน้า” สำหรับใครที่มีโอกาสได้ไปงานในวันนั้นคงจะเข้าใจและสามารถเข้าถึงโมเม้นที่แสนสนุกกับพวกเราได้ แต่สำหรับผู้ที่พลาดโอกาสในปีนี้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม คุณอาจจะต้องคิดใหม่ในปีหน้า และมาสนุกด้วยกัน
1) มีที่ไหนอีกที่การ์ตูน Anime สามารถนำมาผสมผสานกับดนตรีแนว EDM ได้เป็นอย่างดี
คงจะมีไม่บ่อยนักที่จะได้เห็นชาว EDM ทั้งหลายรีบออกจากที่ทำงานในตอนเย็นเพื่อเตรียมตัวไปงานเฟสติวัล โดยทั่วไปกว่าคนจะมากันเต็มทั้งงานก็หลัง 22.00 น. ไปแล้ว แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนทุกๆครั้งที่ผ่านมา เมื่อ Porter Robinson (พอเตอร์ โรบินสัน) ขึ้นโชว์ตั้งแต่เวลา 19:45 น. แล้วคุณจะต้องรออะไรอีกหละ ดีเจหนุ่มได้โชว์ถึงความหลงไหลในแนวดนตรีแบบ Anime โดยการนำภาพที่เรามักจะเห็นในการ์ตูนมาผสมผสานกับเสียงเพลงที่เขานั้นกำลังเล่นอยู่ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการ “สัมผัสได้ถึงสีสันผ่านทางการรับฟัง” ในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน เลยทีเดียว ตลอดเวลาที่เขาเล่นเราก็ไม่อยากจะละสายตาไปจากเวทีเลย แม้ว่าตาเราจะแห้ง หรือน้ำลายเราจะยืด เราก็ยอมเพราะว่าอยากฟังบทเพลงที่มาจากอัลบั้ม “Worlds” ของเขาแบบสดๆ หลังจากที่ได้เจอตัวจริงทำให้เราได้รู้เลยว่าทำไม Porter Robinson ถึงต้องออกอัลบั้มเดิมถึงสองครั้ง
2) มีที่ไหนอีกที่คุณได้มีโอกาสรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ใน MV ของดีเจคนดัง
ก่อนจะออกมาเที่ยวงานเทศกาลดนตรี เราก็ต้องเตรียมตัวทำการบ้านโดยการเปิดเพลงฟังดีเจที่จะมาแบบซ้ำไปซ้ำมาให้ได้อารมณ์ แต่หลังจากที่เราได้ดูและฟังมิวสิควีดีโอของ Oliver Heldens (โอลิเวอร์ เฮลเดนส์) เราก็ได้มีโอกาสรู้สึกเหมือนกับได้เป็นส่วนหนึ่งของมิวสิควีดีโอ ทันทีเมื่อเดินเข้าสู่งาน 808 Festival สิ่งที่เจอนั้นคือ ผู้ชมมากมายแต่งตัวเป็นเหล่าสัตว์ป่า กระโดดไปมาเหมือนในมิวสิควีดีโอเป๊ะเลยทีเดียว ไม่มีใครกลัวร้อน หรือ กลัวเหงื่อท่วมตัว มีแต่จะคิดว่าอยากทำเต็มที่ เผื่อจะได้มีโอกาสมา shuffle กับโอลิเวอร์ ในเมืองไทย
3) มีที่ไหนอีกที่พระอาทิตย์สามารถที่จะส่องแสงตอนกลางคืนได้
รู้สึกได้เลยถึงความร้อนที่ระอุขึ้นเรื่อยๆ เมื่อ Axwell Λ Ingrosso (แอกซ์เวลล์ แอนด์ อิงกรอสโซ่) เปิดฉากความมันส์ ชวนทุกคนไปแดนซ์กับพวกเขา เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อฉากบนเวทีเปลี่ยนเป็นภาพแสงอาทิตย์ที่ส่องแสงร้อนแรงเป็นอีกเหตุผลนึงที่ทำให้เรารู้สึกถึงความรุ่มร้อนทั้งภายนอกและภายในไปพร้อมๆกันเลยทีเดียว เพลงฮิต “Sun Is Shining” ของดีเจคู่หูชาวสวีดิช เมื่อเล่นไปพร้อมกับแสงสีเหลืองอ่อนบนจอทำให้ดูเหมือนจริงมากจนเราเกือบจะถอดเสื้อผ้าออกมาอาบแดดกันเลยทีเดียว อาจจะฟังดูเป็นเรื่องตลกสำหรับบางคนเวลาที่พวกเขาเห็นคนที่อินมากจากการได้ฟังเพลง ซึ่งความรู้สึกแบบนี้ถ้าไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวเองก็คงไม่มีใครรู้และเข้าใจว่ามันเป็นอย่างไร ต้องยกนิ้วให้กับทีมโปรดักชั่นของเวทีนี้เลยจริงๆที่ทำให้พวกเราอิ่มเอมกันมาก
4) มีที่ไหนอีกที่จะมีดีเจมา “Embrace” พวกเรา ได้อย่างใกล้ชิดขนาดนี้
หลังจากโชว์ของ Axwell Λ Ingrosso ได้จบลง ถ้าคุณไม่ได้รู้สึกคล้อยตามเสียงเพลงของพวกเขา บอกเลย คุณใจแข็งมากเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม เรารับประกันได้เลยว่าต้องมีคนแอบน้ำตาไหล เมื่อมีเสียงทรัมเป็ตดังขึ้น ต้อนรับดีเจอันดับ 4 ของโลกทำให้โมเม้นนั้นรู้สึกถึงอ้อมกอดอันอบอุ่นจากเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของเพลงในอัลบั้มใหม่ “Embrace” ของเขาในทันที ไม่ว่าคุณจะแมนมาจากไหนแต่เมื่อ Armin van Buuren (AvB) ถามว่า “Are you ready to be put into a state of trance” ก็ทำให้พวกเราเคลิ้มแล้ว พลังงานในฮอลล์ ณ จุดนั้นทำให้พวกเราที่รักในดนตรี EDM ยิ่งมั่นใจ ว่าการมางาน 808 Festival ในครั้งนี้นั้นคุ้มค่าจริงๆ
5) มีที่ไหนอีกที่คุณสามารถนำดีเจคืนชีพจากความตายได้บ้าง
มันเป็นเรื่องยากที่จะนำเอาเพลงแนว trap มาเล่นต่อจากเพลงแนว trance แต่ในเมื่อ 808 Festival ไม่ใช่เฟสติวัลธรรมดาทั่วไป ทีมงานสามารถนำ Jack Ü (แจ๊ค ยู) มาสร้างความเดือดหลังจากที่ AvB ได้ลงจากเวทีไป พลังของคนดูในฮอลถูกดึงดูดออกมาเต็มแม๊กซ์เมื่อ Skrillex (สกริลเล็กซ์) กับ Diplo (ดิ๊ปโล) แกล้งนอนตายและขอให้คนดูส่งเสียงเพื่อให้เค้าฟื้นคืนชีพมาอีกครั้ง จุดนั้นถ้าหูคุณไม่อื้อไปเลย คุณก็จะได้ทราบว่า พลังของชาว rave ในเมืองไทยนั้นไม่แพ้ชาติใดในโลก
6) Sunn Arena มันส์จนเกือบลุกเป็นไฟ
Sunn Arena เดือดไม่แพ้เมนสเตจเลยทีเดียว เมื่อร้อนเป็นไฟสมกับชื่อจริงๆ ใครที่ชื่นชอบคนตรีแนว เทคโน เฮ้าส์ และ ทรานซ์ สามารถพูดได้เลยว่าถูกใจ ดีเจแต่ละคนที่มาเล่นบนเวที Sunn Arena นั้นเรียกได้ว่าเป็นปรมาจารย์กันทุกคน ซึ่งผู้ชมก็เห็นได้ชัด เพราะแนวเพลงของเหล่าดีเจก็ได้ดึงดูดพวกเขาให้แดนซ์กันแบบไม่อยากกลับบ้านกันเลยทีเดียว ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีสำหรับผู้ที่ชอบดนตรีแนวนี้ในประเทสไทยเป็นอย่างแน่นอน
7) มีที่ไหนอีกที่คุณสามารถฟังเพลงแนวใหม่ๆตลอดเวลา
หลังจากที่การแสดงของ Jack Ü ได้เสร็จสิ้นลงเมื่อเวลา 02:30 น. ทุกคนที่อยู่เวทีด้านเมนสเตจของ 808 ก็มีโอกาสได้พบกับประสบการณ์ใหม่ ๆ เมื่อต้องเดินผ่าน Sunn Arena ที่มี Jamie Jones (เจมี โจนส์) ขึ้นเล่นใน 30 นาทีสุดท้ายพอดี ไม่ว่ามันจะเป็นความบังเอิญหรือไม่ก็ตาม ผู้ชมที่อาจแค่เดินผ่านก็ได้มีโอกาสได้สัมผัสรสชาติของดนตรีเทคโนที่ธรรมดาแล้วอาจจะไม่ได้มีโอกาสสัมผัส เราเชื่อมั่นว่าดนตรีแนวนี้ได้แฟนเพลงชาวไทยเพิ่มมากขึ้นอีกแน่นอน ต้องคอยติดตามว่าในปีหน้า Sunn Arena นั้นจะใหญ่ขึ้นอีกมากแค่ไหน
8) มีที่ไหนอีกที่คุณสามารถเข้างานเดียว ดู 2 เวที
สิ่งหนึ่งที่ทำให้พวกเราแอบกังวลเมื่อได้ยินว่า 808 Festival 2015 จะมี 2 เวที ก็คือ มันจะตั้งอยู่อย่างไร แต่เมื่อได้ดูจาก floor plan และลองเดินดูจริง ก็รู้สึกได้ว่าเพอร์เฟคเลยทีเดียว ประตูทางเชื่อมของฮอลล์ทั้ง 3 ประตู ทำให้พวกเราเดินเปลี่ยนไปมาได้อย่างง่ายดาย ตามความตั้งใจที่จะมาซึมซับประสบการณ์ความสนุกให้ได้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้
9) มีที่ไหนอีกที่เมื่อเต้นเสร็จแล้วอยากทำ Passport เลยทันที
จะเห็นได้ว่าภายในงาน 808 Festival นั้นมีธงเยอะมาก จนแอบคิดว่านี่เราหลงอยู่ในงานประชุมสหประชาชาติหรือเปล่านะ เหมือนมีตัวแทนจากทั่วโลกมายืนโบกธงเพื่อสื่อให้รู้ว่านี่มากันหมดแทบทุกทวีปเลย นี่คือสิ่งหนึ่งที่สร้างสีสันให้กับงาน ผู้คนจากต่างพื้นเพต่างวัฒณธรรมมารวมตัวกันในที่เดียว การได้พบเพื่อนต่างชาติใหม่ ๆ ถือได้ว่าคุ้มกับที่ต้องปวดขาในวันรุ่งขึ้นเป็นอย่างแน่นอน
10) มีที่ไหนอีกทีสามารถขึ้น BTS ไปลงถึงหน้างานเทศกาลตนตรีระดับโลกได้บ้าง
ไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ เราอาจจะต้องใช้ทุนทรัพย์มากเป็นหลักหมื่นหลักแสน เพื่อไปร่วมงาน เฟสติวัลระดับโลกในต่างประเทศ ซึ่งแน่นอนว่าต้องใช้เวลาแพลนการเดินทาง จองที่พัก และไหนจะต้องหาเพื่อนร่วมอุดมการณ์ไปด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นหลังจากที่คุณสามารถจองตั๋วเข้างานได้แล้วด้วย แต่ ณ วันนี้ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ชาว EDM สามารถไปงานมิวสิคเฟสติวัลระดับโลกได้ในประเทศไทยของเราซึ่งเราต้องยกความดีความชอบนี้ให้กับทีมผู้จัดงาน 808 Festival ซึ่งผลของการวางแผนที่ดีเยี่ยมทำให้พวกเราได้มาดูดีเจ และ โปรดั๊กชั่นระดับโลก โดยไม่ต้องลำบากมากมายขนาดนั้น ทำให้เราตัดสินใจไปมันส์ได้อย่างง่ายดาย
ไม่ว่าคุณจะคิดยังไง แต่เราเองมั่นใจว่า 10 เหตุผลนี้นั้นทำให้เราอยากจะกลับไป 808 Festival ในปีหน้าอย่างแน่นอน