ปักหมุด! 20 ร้านใหม่น่าเช็กอินทั่วกรุงฯ (เมษายน-มิถุนายน 2562)
อัปเดต 20 ร้านอาหาร บาร์ และไนต์คลับน่าเช็กอินทั่วกรุงเทพฯ ที่เพิ่งเปิดให้บริการสดๆ ร้อนๆ ช่วงเมษายน-มิถุนายน 2562
อากาศเย็นสบายและบรรยากาศสุดชิลของฤดูฝน เป็นสิ่งที่เราทุกคนกำลังสัมผัสอยู่ ณ ขณะนี้ หากประกอบเข้ากับคืนวันสังสรรค์พร้อมกลุ่มเพื่อนหรือคนใกล้ชิดแล้วล่ะก็… แน่นอนว่าวันธรรมดาหนึ่งวันของเราสามารถกลายเป็นวันดีๆ ได้ไม่ยาก
ซึ่งบทความชิ้นนี้จะคอยเป็นตัวช่วยในการรวบรวมสถานที่แฮงเอาต์ใหม่ในกรุงเทพฯ แล้วนำมาอัปเดตเป็นประจำทุกควอเตอร์ ให้ทุกคนได้ไปสนุกสนานด้วยกันตามร้านรวงต่างๆ แบบน็อนสต็อป
โดย 20 ร้านอาหาร บาร์ และไนต์คลับน้องใหม่ที่เพิ่งเปิดให้บริการสดๆ ร้อนๆ ในช่วงเมษายน-มิถุนายน 2562 หรือควอเตอร์ที่ 2 ของปีนี้ จะมีที่ไหนน่าสนใจบ้าง ตามไปเช็กอินกันเลย! (เรียงตามตัวอักษรภาษาอังกฤษ)
After Moon by DNA (อาฟเตอร์มูน บาย ดีเอ็นเอ)
ไนต์คลับย่านเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทราแห่งนี้ เป็นบ้านหลังใหม่ของ Aftermoon by DNA ซึ่งมีคอนเซ็ปต์ว่าอาฟเตอร์มูนไม่ใช่สถานที่แต่เป็นผู้คน ไม่ว่าโลเคชั่นร้านจะอยู่ตรงไหนหรือย้ายไปอย่างไร ก็ยังคงความอบอุ่นและสนุกสนานเช่นเดิมได้
บริเวณร้านแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่โซนเอาต์ดอร์นั่งชิล ที่ตั้งใจจะมีดนตรีสด สลับกับดนตรีแนวเฮาส์และฮิปฮอปสร้างความบันเทิงตั้งแต่หัวค่ำ (ซึ่งจะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบวันที่ 16 กรกฎาคม 2562)
ส่วนโซนด้านในเป็นไนต์คลับเต็มตัวสำหรับสาวกเพลงอีดีเอ็ม แทร็ป ฮาร์ดสไตล์ ฯลฯ โดยจะมีดีเจคอยสร้างสีสันเป็นประจำทุกคืน คืนละ 4 คน และเอ็มซีกระตุ้นบรรยากาศปาร์ตี้อีกจำนวน 1-2 คนต่อคืน เช่น Queennara, Foamberry, Tony Blackk, P-Nat, Pearyroc, Dopeherehere, Mister+, Bizzo, April และอีกมากมาย
การตกแต่งภายในร้านมีสไตล์อันเดอร์กราวด์ดิบๆ โดยใช้โทนสีดำเป็นหลัก ที่โดดเด่นที่สุดคงเป็นโปรดักชั่นต่างๆ ที่ติดตั้งไว้ทั่วบริเวณ เช่น แสงสี เลเซอร์ ระบบเสียง ภาพกราฟิก ซึ่งเรียกได้ว่าจัดเต็ม สามารถสร้างบรรยากาศสุดมันให้กับทุกคนได้
Bottle Rocket Craft Beer Bar (บ็อตเทิลร็อกเก็ต คราฟต์เบียร์บาร์)
ร้านเบียร์คราฟต์ย่านถนนพระอาทิตย์อย่าง Bottle Rocket ย้ายบ้านหลังใหม่มายังชั้นสองของอาคารพาณิชย์ ติดสถานีรถไฟฟ้า BTS สนามเป้าทางออก 4 โดยชื่อของร้านที่แปลตรงตัวว่า ‘จรวด’ ก็อธิบายคอนเซ็ปต์การตกแต่งร้านไว้อย่างชัดเจน
ร้านให้บรรยากาศแบบเท่ๆ โดยคงแนวคิดดังกล่าวไว้ด้วยการใช้วัสดุเช่น เหล็ก อะลูมิเนียม โทนสีทองแดงเข้ม-ดำ รวมถึงของประดับตกแต่งที่ได้มาจากส่วนประกอบของเรือดำน้ำจริงๆ เช่นหน้าต่างกระจกกลมเล็กที่ติดไว้รอบร้าน ยิ่งสร้างมู้ดอวกาศและการบินได้อย่างพอดิบพอดี แถมเล่าจุดขายของร้านผ่านการใช้เก้าอี้จากถังเบียร์ ที่ไม่ต้องบอกก็รับรู้ได้ว่า Bottle Rocket นั้นขายอะไร
ระหว่างฟังดนตรีสดแนวอะคูสติกอย่างเพลิดเพลิน (มีวงดนตรีทุกวันพุธ-เสาร์) ก็สามารถจิบเบียร์คราฟต์เย็นๆ ของไทยและต่างประเทศ ที่ทางร้านมีให้บริการบนแท็ปถึง 20 ชนิด และแบบขวด-กระป๋องอีกมากกว่า 60 ชนิด ซึ่งจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ หรือใครมองหาตัวเลือกอื่นนอกจากเบียร์ก็ยังมีไซเดอร์และซอฟต์ดริงก์ให้บริการ
ถึงแม้ทางร้านจะไม่มีอาหารจานหลักอิ่มท้องพร้อมเสิร์ฟ แต่ทุกคนสามารถลิ้มรสเมนูอาหารทานเล่นและกับแกล้มที่เข้าคู่กับเบียร์ เช่น ป็อปคอร์น ถั่วแระญี่ปุ่น แหนม ไส้กรอก หรือทาโร่ได้
Chill Inda House (ชิลอินดาเฮาส์)
แหล่งแฮงเอาต์ใหม่ในย่านทองหล่อสำหรับคนรักฮิปฮอปที่เกิดจาก ‘ขันเงิน ไทยเทเนี่ยม’ และแร็ปเปอร์ชาวญี่ปุ่น ‘HOKT’ ที่ต้องการสร้างคอมมูนิตี้เล็กๆ ให้ชาวฮิปฮอปสามารถมานั่งชิล พูดคุย แลกเปลี่ยนไอเท็มเท่ๆ พรีปาร์ตี้ก่อนไปสนุกต่อในยามค่ำคืนได้
โดยตัวร้านแบ่งออกเป็น 3 ชั้น ชั้นแรกเป็นร้านอาหารและบาร์ที่ออกแบบสไตล์สตรีตดิบๆ ด้วยผนังปูนเปลือยและเฟอร์นิเจอร์สีดำ สายตาถูกดึงดูดด้วยบาร์เครื่องดื่มซ่อนไฟนีออนสีม่วงและส้มสุดเท่ ล้อมรอบด้วยงานศิลปะหายากและของตกแต่งที่ดิสเพลย์ไว้ทั่วบริเวณ ซึ่งล้วนเป็นของสะสมส่วนตัวของขันเงินเอง
เดินขึ้นมายังชั้นสองจะพบกับ Tokyo Vintage Crib ที่พร้อมต้อนรับคนรักแฟชั่นฮิปฮอป โดยมีทั้งเสื้อผ้า และเครื่องประดับจากแบรนด์ต่างๆ ซึ่งมีราคาตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักแสน เช่น Ginrhymes, Avalanche, Louis Vuitton, Rolex, Cartier, Chanel ให้เลือกช็อปปิ้งกันอย่างเต็มที่
ส่วนบริเวณชั้นสามตั้งใจทำเป็นแกลเลอรี่ให้ศิลปินได้นำผลงานของตัวเองมาจัดแสดงและวางขายผลงานศิลปะ ซึ่งจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เป็นประจำทุก 1-2 เดือน และหากไม่มีผลงานใดๆ จัดแสดง พื้นที่นี้ก็จะทำหน้าที่เป็นห้องรับรองแขกเวลาจัดอีเวนต์ต่างๆ
เพลงฮิปฮอปและอาร์แอนด์บีถูกเล่นเคล้าบรรยากาศสบายๆ ตลอดทั้งคืน พร้อมอาหารญี่ปุ่นฟิวชั่นโฮมเมดโดยเชฟชาวญี่ปุ่น เสิร์ฟทั้งจานหลักและทานเล่น (ดูรายละเอียดอาหารได้ในแคปชั่นรูปด้านบน) ส่วนเมนูเครื่องดื่มมีให้เลือกครอบคลุมหลายประเภท ทั้งสาเก วิสกี้ วอดก้า จิน เตกีล่า โชจูญี่ปุ่น ไวน์ เบียร์ แชมเปญ ฯลฯ
Chongjaroen Groove (ชงเจริญ กรูฟ)
ชงเจริญเฟสติวัล บาร์สุดฮิตในย่านเกษตร-นวมินทร์ ยกเสน่ห์และความสนุกมาไว้ใจกลางเมืองที่ Groove@CentralWorld โดยยังคงคอนเซ็ปต์ The Lost Chinatown ตกแต่งในสไตล์จีนร่วมสมัย โดยใช้เครื่องเรือนไม้ ประตูบานเฟี้ยม โคมไฟจีน ภาพวาดบนผนังเท่ๆ แต่ดูชิคขึ้นด้วยไฟนีออนหลากสีที่ทำให้มู้ดของร้านสนุกสนานมากขึ้น
บรรยากาศดีๆ ถูกเติมเต็มด้วยดีเจและดนตรีสดหลากหลายแนวที่เน้นเพลงไทยเป็นหลัก โดยจะสลับกันมาสร้างมู้ดปาร์ตี้เบาๆ เป็นประจำทุกคืน พิเศษด้วยการเชิญศิลปินชื่อดังมาสร้างสีสันเป็นประจำ ที่ผ่านมาได้อะตอม ชนกันต์, Zeal, Greasy Cafe และ Season Five ร่วมขึ้นเวทีแห่งนี้มาแล้ว
ขึ้นชื่อว่าเป็นบาร์กึ่งร้านอาหาร เมนูความอร่อยที่เสิร์ฟจึงมีความหลากหลายและจัดจ้าน เน้นอาหารไทย-จีนฟิวชั่น มีให้บริการทั้งเมนูทานเล่นและจานหลักอิ่มท้อง เช่น หมนูย่างปลาร้า, ข้าวหน้าแก้มวัวย่าง ซอสบ๊วย, หมี่กะเฉด, ต้มแซ่บ, ลาบเป็ด และอีกมากมาย ที่สามารถทานเป็นมื้อเที่ยงระหว่างวันทำงาน หรือมื้อเย็นสบายๆ ระหว่างสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อนก็ย่อมได้
ส่วนเมนูเครื่องดื่มก็มีให้เลือกดื่มครบครัน ตั้งแต่ชา-กาแฟ ไปจนถึงซิกเนเจอร์ค็อกเทล รวมถึงวิสกี้ บรั่นดี วอดก้า เบียร์และซอฟต์ดริงก์ต่างๆ
Circus Music Bar (เซอร์คัส มิวสิกบาร์)
ย่านวิภาวดีรังสิต (ดินแดง) มีสถานที่แฮงเอาต์ราคาเป็นกันเองเพิ่งเปิดตัวใหม่ ให้ทุกคนได้เอ็นจอยกับบรรยากาศชิคๆ ในธีมละครสัตว์ตามชื่อร้านอย่าง Circus Music Bar เพราะฉะนั้นการออกแบบและตกแต่งร้านจึงให้ความรู้สึกเหมือนกำลังสังสรรค์อยู่ท่ามกลางโรงละครสัตว์
ทั้งการทำซุ้มสีขาว-แดง มีโลโก้ตัวตลก ติดโปสเตอร์โปรโมทการแสดงต่างๆ ที่จำลองขึ้นมาใหม่ แต่ทำให้สนุกสนานขึ้นด้วยการใช้ไฟนีออนและไฟดิสโก้หลากสีสัน
แน่นอนว่าที่ขาดไม่ได้คือดนตรีเคล้าบรรยากาศ โดยมีดนตรีสดมาเล่นเป็นประจำทุกวันตั้งแต่เวลาสองทุ่มถึงเที่ยงคืน ซึ่งเน้นเพลงไทยหลากหลายแนวที่ทุกคนสามารถร้องและเต้นตามได้สบายๆ และความพิเศษคือทางร้านจะเชิญศิลปินดังมาร่วมโชว์เป็นระยะๆ โดยที่ผ่านมาในงานเปิดร้านอย่างเป็นทางการได้ศิลปินฮิปฮอปอย่าง UrboyTJ มาชวนทุกคนโยกกันไปแล้ว
สำหรับเมนูเครื่องดื่มสำหรับการปาร์ตี้ที่สมบูรณ์ Circus Music Bar พร้อมเสิร์ฟเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลากชนิด โดยเน้นไปที่เบียร์และวิสกี้ คู่ซอฟต์ดริงก์ต่างๆ ให้เลือกจิบกันได้ตามใจชอบ
Flamenco Bangkok (ฟลาเมงโก แบงค็อก)
ย่านใจกลางเมืองอย่างพร้อมพงษ์ มีหนึ่งสถานที่แฮงเอาต์ใหม่ที่อบอวลไปด้วยบรรยากาศและความสนุกแบบละติน เฉกเช่นที่เราเคยเห็นฉากในภาพยนตร์ที่ผู้หญิงใส่ชุดกระโปรงสีแดง-ดำ เต้นระบำใกล้ชิดกับชายหนุ่ม และนั่นศิลปะอย่างหนึ่งของประเทศสเปน ที่เรียกว่า Flamenco ซึ่งเป็นที่มาของชื่อร้านแห่งนี้
เมื่อเข้าไปด้านใน สิ่งที่ดึงดูดสายตามากที่สุดคือ กำแพงไฟนีออนขนาดยักษ์ภาพไอเท็มที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมละติน เช่น กระทิงจากการสู้วัวกระทิงของสเปน อาหารเม็กซิกันอย่างทาโก้ และยังมีภาพวาดขนาดใหญ่บนกำแพงเป็นรูปคู่หญิง-ชายที่กำลังเต้นฟลาเมงโก้ อีกฝั่งเป็นภาพหญิงสาวกำลังเป่าแซกโซโฟนอยู่อย่างสวยงาม
พื้นที่ขนาด 800 ตารางเมตร ถูกจัดสรรได้อย่างลงตัว โดยแบ่งออกเป็น 5 โซนที่ล้วนแล้วแต่ประดับตกแต่งในสไตล์วินเทจร่วมสมัยที่แฝงกลิ่นอายความหรูหราแบบโมเดิร์นเข้าไว้ ได้แก่โซนอินดอร์ โซนไลฟ์สเตจแสดงดนตรีสดแนวละติน ทั้งแจ๊ส บลูส์ โซล ซุมบ้า รุมบ้า และเซ็ตเพลงสนุกๆ จากดีเจ
โซนเลาจน์ชั้นลอย โซนเอาต์ดอร์พร้อมทัศนียภาพของกรุงเทพฯ ยามค่ำคืนแบบ 180 องศา และโซนซิการ์เลาจน์บริเวณหลังบาร์เครื่องดื่มที่คัดสรรซิการ์คุณภาพจากทั่วโลกมาไว้ที่แห่งนี้
สำหรับเมนูอาหารเสิร์ฟเมนูทาปาส ทานเล่นสไตล์ละติน-อเมริกัน คู่เครื่องดื่มนานาชนิด เช่น ไวน์ วิสกี้ เตกีล่า เบียร์ บรั่นดี แชมเปญ ฯลฯ แต่ที่พลาดไม่ได้คือค็อกเทลซิกเนเจอร์ที่รังสรรค์ขึ้นมาเป็นพิเศษ
Jacqueline Bangkok (แจ็กเกอลีน แบงค็อก)
Siri House ไลฟ์สไตล์ฮับย่านชิดลม เพิ่งเปิดตัวค็อกเทลบาร์ Jacqualine Bangkok ที่ได้แรงบันดาลใจหลักมาจากอดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 ของสหรัฐอเมริกาอย่างแจ็กเกอลีน เคเนดี้ และนำเสนอออกมาเป็นห้องนั่งเล่นที่มีกลิ่นอายแบบอเมริกันฝั่งอีสต์โคสต์สุดโคซี่
ตัวร้านแบ่งออกเป็น 3 โซน ได้แก่ โซนโอเพ่นแอร์บริเวณหน้าร้านที่สามารถมองเห็นสวนหย่อมและสระน้ำด้านล่างได้เต็มตา มีบาร์ที่เจาะเชื่อมกับโซนอินดอร์ที่จำลองห้องนั่งเล่นอันเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยดีเทลเจ๋งๆ อย่างการเลือกใช้หินอ่อน โคมไฟเรโทร เฟอร์นิเจอร์หวาย ประดับด้วยกรอบรูป ต้นไม้ มีมุมเปียโนสำหรับนักดนตรี และชุดโซฟากำมะหยี่ที่สร้างบรรยากาศแบบยุค 60 ได้เป็นอย่างดี
จากด้านในสามารถออกไปยังโซนระเบียงด้านนอกสุดร่มรื่น ด้วยการใช้ต้นไม้ประดับสีเขียวขจี ชุดโซฟายาว และคบไฟจริงที่ทำให้ร้านดูโมเดิร์นขึ้น โดยยังสามารถได้ยินเสียงเพลงแจ๊สที่เปิดคลอไว้เบาๆ อย่างเพลิดเพลิน
ที่แห่งนี้เป็นค็อกเทลบาร์เต็มตัว ทุกคนจะได้ลิ้มรสค็อกเทลซิกเนเจอร์ที่รังสรรค์ขึ้นจำนวน 5 ตัว และคลาสสิกค็อกเทลหาดื่มได้ยากอีก 15 ตัว นอกจากนี้ยังเสิร์ฟอะเพอริทีฟและสปิริตส์อื่นเช่น บรั่นดี วิสกี้ รัม วอดก้า รวมถึงเบียร์ ไวน์ และซอฟต์ดริงก์ให้เลือกดื่มได้ตามใจชอบ พร้อมมีมื้ออาหารเมดิเตอร์เรเนียนดีๆ จากร้านอาหาร Quince ด้านล่างได้เลย
Lennon’s (เลนนอนส์)
สปีกอีซีบาร์บนชั้น 30 ของโรงแรม Rosewood Bangkok ย่านเพลินจิต ที่ออกแบบในสไตล์โฮมสตูดิโออัดเสียงช่วงยุค 50-70 สุดเรโทร ซึ่งเมื่อก้าวเท้าออกจากลิฟต์ที่เชื่อมกับตัวร้านจะพบกับห้องเก็บคอลเลกชั่นแผ่นไวนิลที่มีมากกว่า 6,000 แผ่น และมุมเทปคาสเซ็ตเล็กๆ ที่สามารถรีเควสต์ดีเจให้เล่นแผ่นเสียงที่แขกสนใจได้ (มีดีเจเปิดแผ่นเสียงเป็นประจำทุกวันอังคาร-เสาร์)
เมื่อเดินผ่านประตูเข้าไปยังตัวบาร์ ร้านจะแบ่งออกเป็น 3 โซน ได้แก่โซนเลาจน์ทั้งด้านซ้ายและขวา ที่ทุกคนจะได้หย่อนกายบนชุดโซฟากำมะหยี่วินเทจเท่ๆ โซนบาร์ยาวที่สามารถชมบาร์เทนเดอร์ชงเครื่องดื่มอย่างพิถีพิถัน
และเมื่อขึ้นบันไดวนไปยังชั้นลอยจะพบกับห้องซิการ์เล็กๆ แต่มีซีเล็กชั่นขนาดใหญ่ โดยทั้งสามโซนล้อมรอบไปด้วยกระจกใสที่เราสามารถมองภาพกรุงเทพฯ ยามค่ำคืนพร้อมแสงไฟระยิบระยับได้ถนัดตา
สำหรับจุดเด่นของ Lennon’s คงเป็นบรรดาซิกเนเจอร์ค็อกเทลที่รังสรรค์ขึ้นมาใหม่ โดยได้แรงบันดาลใจในการตั้งชื่อจากเพลงของศิลปินชื่อดังระดับโลกในหลากหลายแนวเพลง นอกจากนี้ยังมีวิสกี้หายากที่สามารถมอบประสบการณ์การกินดื่มใหม่ๆ ให้ทุกคนได้
Mikkeller Discovery (มิกเคลเลอร์ ดิสคัฟเวอรี)
ในมุมเสื้อผ้าสตรีตผู้ชายโซน Cazh ชั้น 1 ศูนย์การค้า Siam Discovery มีร้านคราฟต์เบียร์เล็กๆ ซ่อนตัวอยู่ ซึ่ง Mikkeller Discovery แห่งนี้ เป็นสาขาที่ 3 ของบ้านเบียร์มิกเคลเลอร์ในซอยเอกมัยและอารีย์ โดยตั้งใจทำหน้าที่เป็นผู้แนะนำเบียร์คราฟต์ชนิดต่างๆ ให้คนทั่วไปได้รู้จัก ก่อนไปลิ้มรสชาติที่หลากหลายกว่า ณ สาขาใหญ่
การตกแต่งร้านแตกต่างไปจากร้านเดิมที่มีคาแร็กเตอร์สบายๆ แบบรัสติกอย่างที่เรารู้จักกันดี ด้วยแหล่งที่ตั้งที่อยู่ในศูนย์การค้าแบบปิด แต่ยังคุมโทนด้วยการใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้และของตกแต่งน่ารักๆ เช่น ดอกไม้แห้ง พยายามสร้างบรรยากาศแบบโคซี่ เน้นการนั่งจิบรอเพื่อน พักจากการช็อปปิ้ง และลองดื่มง่ายๆ มากกว่าการแฮงเอาต์ข้ามคืน
เครื่องดื่มที่ให้บริการมีคราฟต์เบียร์สดบนแท็ปจำนวน 10 แท็ป และเบียร์กระป๋องอีกหลายชนิดที่จะหมุนเวียนไปเรื่อยๆ หากมีตัวใหม่เข้ามา โดยเน้นไปที่แบรนด์ไทยและเอเชีย ประเภทลาเกอร์ ไอพีเอ สเตาท์ ฯลฯ ซึ่งจะเลือกตัวที่มีรสชาติแปลกใหม่ ฉีกไปจากเบียร์ไทยที่เราคุ้นชิน
ส่วนช่วงที่งดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (เวลา 14.00 - 17.00 น.) ก็มีเครื่องดื่มที่ไม่มีส่วนผสมแอลกอฮอล์ให้บริการเช่น โซดาหมักธรรมชาติรสต่างๆ หรือซอฟต์ดริงก์ สามารถดื่มคู่กับอาหารทานเล่นเช่น เฟรนช์ฟรายส์ ฮอตด็อก แซนวิช และในอนาคตจะเสิร์ฟอาหารเดนมาร์ก-ไทยฟิวชั่นอื่นๆ อีกด้วย
Mo Chou (โม่โซ่ว)
หากต้องการไปร้านอาหารและบาร์สไตล์จีนที่สามารถมอบบรรยากาศแบบไชน่าทาวน์แท้ๆ Mo Chou คือสถานที่ที่น่าไปเช็กอินสักครั้ง เพราะสิ่งต่างๆ ภายในร้านมีเรื่องราวที่แฝงความเป็นจีนไว้ทุกกระเบียดนิ้ว
เริ่มจากชื่อร้านที่มาจากชื่อของหญิงสาวในบทกวีจีนผู้ปราศจากความทุกข์ (Free of Sadness) เธอเต็มไปด้วยความสุขและความมั่นใจ จึงนำเสนอคาแร็กเตอร์นั้นผ่านรูปวาดของหญิงสาวในอิริยาบถต่างๆ บนฝาผนัง (โดยศิษย์เก่าจากวิทยาลัยเพาะช่าง) ประดับและตกแต่งด้วยชุดเฟอร์นิเจอร์เลียนแบบเก้าอี้จีนโบราณ โคมเต็งลั้ง ไหเหล้าจีนโบราณ ฯลฯ ก่อนสร้างมู้ดร้านให้สลัวและเท่ขึ้นด้วยไฟนีออนสีแดง ซึ่งเป็นสีมงคลแห่งความโชคดีและความสุขในวัฒนธรรมจีน
บริเวณร้านแบ่งออกเป็น 3 โซน ได้แก่ อินดอร์ โอเพ่นแอร์ และระเบียง ซึ่งจุดเด่นอยู่ที่ทัศนียภาพจากระเบียงนี้เอง เพราะเราสามารถมองเห็นป้ายตลาดเก่าเยาวราชที่มีอายุร้อยกว่าปี และภาพบรรยากาศความคึกคักของผู้คนในตลาด ซึ่งบริเวณดังกล่าวเป็นย่านเก่าแก่ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวการค้าขายของคนไทยเชื้อสายจีนที่เรียกว่าตรอกอิสรานุภาพ
ความบันเทิงภายในร้านถูกกระตุ้นโดยดนตรีหลากหลายประเภท แต่ส่วนใหญ่เน้นเพลงแนว Easy Listening ซึ่งจะมีวงดนตรีสดประเภทร้องเดี่ยว โฟล์กซอง หรือฟูลแบนด์ มาสร้างสีสันเป็นประจำทุกวันอังคารถึงอาทิตย์ ขณะเดียวกันก็สามารถเล่นสนุกกับกลุ่มเพื่อนผ่านดริงกิ้งเกมต่างๆ ที่ร้านเตรียมไว้ให้ก็ได้
สำหรับเมนูเครื่องดื่ม ทางร้านมีซิกเนเจอร์ค็อกเทลที่รังสรรค์ขึ้นใหม่โดยใช้ส่วนผสมจากสมุนไพรและวัตถุดิบเอเชีย เช่น วาซาบิ ลิ้นจี่ ขิง นอกจากนี้ก็มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และซอฟต์ดริงก์อื่นให้บริการ คู่กับอาหารไทย-จีนหลากหลายประเภท (หากต้องการทานเมนูปิ้งย่างจากร้าน Jumbo Lobster ด้านล่างก็สามารถสั่งขึ้นมาทานได้)
Nabah Grill & Sky Lounge (นาบะห์ กริลล์แอนด์สกายเลาจน์)
ร้านอาหารอินเดียดั้งเดิมบนชั้น 16 ของโรงแรม Solitaire Bangkok ถูกแปลงโฉมให้กลายเป็นแหล่งแฮงเอาต์ใหม่ที่จะมอบประสบการณ์กิน ดื่ม เที่ยวแบบที่ไม่เหมือนใคร โดยแต่ละค่ำคืนที่ Nabah แห่งนี้ มีธีมการปาร์ตี้ที่แตกต่างออกไป ที่ผ่านมามีทั้งย้อนยุคสนุกกับเพลงยุค 80 หรือ 90 อาหรับราตรี หรืออะลาดินไนต์ ให้ร่วมสนุกไม่ซ้ำแนว
พื้นที่ภายในร้านแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ โซนอินดอร์และเลาจน์ด้านนอก ซึ่งออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมและศิลปะที่มีกลิ่นอายของอาหรับที่หรูหรา แต่ก็แฝงความโมเดิร์นและสอดแทรกกิมมิกอย่างเพดานท้องฟ้าจำลองขนาดใหญ่ ที่สามารถเพลิดเพลินไปกับซีนท้องฟ้าตอนกลางคืนได้โดยไม่ต้องย่างเท้าออกไปนอกอาคาร
แต่อีกหนึ่งมุมที่เชื่อว่าหลายคนน่าจะโปรดปราน คือซิการ์เลาจน์แบบโอเพ่นแอร์ ที่รายล้อมด้วยทัศนียภาพของกรุงเทพฯ ย่านสุขุมวิทยามราตรีอย่างเต็มๆ ตา
สำหรับเมนูอาหาร ที่ Nabah เสิร์ฟอาหารฟิวชั่นนานาชาติ เช่น เคบับ สลัด เฟรนช์ฟรายส์ ฯลฯ แต่ที่พลาดไม่ได้คือไก่ย่างซิกเนเจอร์ ที่เราสามารถเลือกส่วนของไก่ เครื่องเทศและเครื่องเคียงได้ตามใจชอบ ทานคู่เครื่องดื่มหลากเมนู ไม่ว่าจะเป็น ซิกเนเจอร์หรือคลาสสิกค็อกเทล สปิริตส์ เบียร์ ไวน์ และซอฟต์ดริงก์ต่างๆ
Perfect Strangers Bangkok (เพอร์เฟ็ก สเตรนเจอร์ส แบงค็อก)
ความสัมพันธ์ทุกรูปแบบ เริ่มต้นจากการเป็นคนแปลกหน้าต่อกันก่อนเสมอ และต้องเป็นคนแปลกหน้าที่ ’ใช่’ จึงจะพัฒนาความสัมพันธ์มาเป็นเพื่อน พี่น้อง ครอบครัว หรือคนรักได้ และนั่นคือคอนเซ็ปต์ของชื่อบาร์ย่านประดิพัทธิ์ ‘Perfect Strangers’ แห่งนี้
ในเวลากลางวันเป็นบาร์กาแฟจริงจัง เมื่อตะวันคล้อยไปก็กลายร่างเป็นบาร์ค็อกเทลสุดชิล ซึ่งชื่อร้านก็กลายเป็นธีมการออกแบบและตกแต่งภายในโดยนำสิ่งที่ชอบมาจับวางรวมกันอย่างลงตัว
ที่โดดเด่นคือเคาน์เตอร์กาแฟ ซึ่งใช้เครื่อง MAVAM เครื่องชงกาแฟเอสเปรสโซที่ฝังไว้ใต้เคาน์เตอร์เพื่อให้คนดื่มกับบาริสต้าได้มีปฏิสัมพันธ์กัน เช่นเดียวกับบาร์ค็อกเทลที่ต้องการให้บาร์เทนเดอร์และลูกค้าได้พูดคุย แลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับเครื่องดื่มต่างๆ นั่นเอง
เครื่องดื่มที่ Perfect Strangers แต่ละเมนู รังสรรค์ขึ้นมาใหม่ได้น่าสนใจมาก กลางวันนำเสนอม็อกเทลกาแฟ ที่นำผลไม้มาผสมกับกาแฟสกัดให้คนสนุกกับรสชาติและดื่มกาแฟได้ง่ายขึ้น ส่วนเวลากลางคืนเน้นค็อกเทลกาแฟ โดยนำกลิ่นหรือผสมกาแฟลงไปเล็กน้อย ให้ได้รับอาฟเตอร์เทสต์ปลายลิ้น ไม่ถึงกับใส่กาแฟเต็มช็อตจนนอนไม่หลับ นอกจากนี้ก็มีซิกเนเจอร์ค็อกเทลที่เปลี่ยนไปตามฤดูกาล เบียร์ และซอฟต์ดริงก์อื่นๆ ให้บริการ เสิร์ฟคู่อาหารไทย-ญี่ปุ่น-อิตาเลียนฟิวชั่นหลากเมนู
ที่ขาดไม่ได้คือเสียงเพลงสร้างบรรยากาศ โดยจะมีดนตรีสดเล่นเพลงไทย-สากลเป็นประจำทุกวันในแนวป็อป แจ๊ส และบลูส์ หากใครที่อยากย้อนกลับไปฟังเพลงเก่าเพราะๆ ก็สามารถไปเอ็นจอยกับเพลงไทยยุค 90 ได้ทุกวันพุธเวลาสองทุ่มและสี่ทุ่มเป็นต้นไป
Ruenglalyn Retro Bar (เริงลลิล เรโทรบาร์)
บริเวณลานกิจกรรม (ฝั่งโรงภาพยนตร์) ชั้น 1 ของศูนย์การค้า Mega Bangna มีสถานที่สำหรับคนที่คิดถึงบรรยากาศเก่าๆ ในยุค 90 สามารถมาแฮงเอาต์คั่นเวลาช็อปปิ้ง หรือตั้งใจมานั่งชิลกับเพื่อนฝูงก็ดี
บริเวณร้านแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ที่นั่งโอเพ่นแอร์ และอินดอร์ โดยการตกแต่งเน้นสีสัน เช่น การใช้ไฟนีออนดัดคำเป็นลูกเล่น ตกแต่งด้วยโปสเตอร์การ์ตูนเรโทรเล็กๆ คลุมโทนร้านด้วยเฟอร์นิเจอร์สีเข้มที่ทำให้ร้านดูร่วมสมัยมากขึ้น
แน่นอนว่าดนตรีที่ร้านจะต้องมาจากยุค 90 อย่างแท้จริง ซึ่งจะมีวงดนตรีและดีเจมาร่วมสร้างบรรยากาศให้เราได้หวนรำลึกถึงวันเก่าๆ เป็นประจำทุกวัน ซึ่งถึงแม้จะตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้า แต่ความสนุก ลุกเต้นได้ไม่น้อยไปกว่าร้านรวงในย่านกลางคืนยอดนิยมที่ทุกคนคุ้นเคยแน่นอน
เริงลลิลเป็นหนึ่งบาร์ที่เราและกลุ่มเพื่อนสามารถมามีมื้ออาหารเย็นอิ่มท้องได้ เพราะเสิร์ฟอาหารไทยฟิวชั่นรสชาติจัดจ้าน โดยมีทั้งอาหารทานเล่น จานหลัก กับข้าว หม้อไฟให้เลือกทาน เช่น หมูสามชั้นทอด ข้าวผัดสับปะรด เสือร้องไห้ซอสพริกไทยดำ ต้มยำทะเลเดือด ฯลฯ คู่กับเครื่องดื่มเย็นๆ ที่พร้อมเสิร์ฟหลากชนิด ไม่ว่าจะเป็นน้ำสมุนไพร ซอฟต์ดริงก์ หรือเบียร์ต่างๆ
RUU Music Bar (อาร์ยูยู มิวสิกบาร์)
เหล้ากับเสียงเพลง คือสิ่งที่เข้ากันมากที่สุดในสายตาของเหล่าพาร์ทเนอร์มิวสิกบาร์ RUU แห่งนี้ สองสิ่งดังกล่าวจึงเป็นหัวใจสำคัญของร้าน และรับหน้าที่เป็นผู้สร้างความเพลิดเพลินยามค่ำคืนให้กับลูกค้าที่มาเยือน
บวกกับความรักศิลปะของแก๊งเจ้าของ การตกแต่งภายในร้านจึงเต็มไปด้วยของสะสมหายาก ชิ้นงานศิลปะที่นำมาดิสเพลย์ไว้เท่ๆ แซมด้วยเฟอร์นิเจอร์หลากดีไซน์ที่ไม่เข้าชุดกัน แต่เบลนด์ได้อย่างลงตัวภายในบริเวณที่นั่งอินดอร์สุดโคซี่และโอเพ่นแอร์กลางหมู่ไม้ประดับเขียวชอุ่ม
ในคืนปกติจะมีดีเจคอยสร้างบรรยากาศสนุกๆ ด้วยเพลงหลากหลายแนว ไม่ว่าจะเป็นเพลงยุค 80 เฮาส์ ดิสโก้ สลับกับดนตรีสดแนวอะคูสติก หรือคืนใดที่มีอีเวนต์พิเศษเราก็จะได้พบกับศิลปินมากความสามารถอย่าง เบิร์ดกะฮาร์ท หรือคืน RUU Playlist ที่ชวนเพื่อน ซึ่งไม่ต้องเป็นดีเจก็ได้ มาแบ่งปันเพลงโปรดให้คนอื่นๆ ได้รู้จัก บางคืนก็ส่งไมโครโฟนรอบร้านให้ร้องเพลงกันสนุกสนานกลายเป็นคาราโอเกะไนต์ไปโดยปริยาย
ส่วนเครื่องดื่ม ทางร้านมีให้บริการทั้งสปิริตส์ เบียร์ ไวน์ ซอฟต์ดริงก์ต่างๆ แต่ที่แนะนำคือเหล่าซิกเนเจอร์และคลาสสิกค็อกเทลที่บาร์เทนเดอร์ตั้งใจครีเอตขึ้นมาให้เราทุกคนได้ลิ้มลองเครื่องดื่มรสชาติใหม่ๆ จากส่วนผสมคุณภาพ เคียงด้วยอาหารทานเล่นหลากเมนูเช่น ถั่ว เนื้อแดดเดียว ป็อปคอร์น ชิปส์แอนด์ซัลซ่า เป็นต้น (สามารถสั่งอาหารจากร้านในละแวกเดียวกันมาทานได้)
Siam Flowers Bangkok (สยามฟลาวเวอร์ส แบงค็อก)
จากโชว์เคสของนักจัดดอกไม้ ถูกเนรมิตใหม่กลายเป็นค็อกเทลบาร์ที่อบอวลไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ แฝงดีไซน์แบบวิกตอเรียนวินเทจผสมผสานที่ให้ความรู้สึกแบบเฟมินีนเล็กน้อย โดยใช้ของตกแต่งเดิมที่มีอยู่ เช่น ตู้โชว์และกรงนกดอกไม้แห้งมาประดับ แซมด้วยกรอบรูป บานกระจกกรอบทอง แจกันดอกไม้เล็กๆ คู่เฟอร์นิเจอร์ไม้และกำมะหยี่ที่สร้างบรรยากาศสุดยูนีก
มู้ดสบายๆ โดยรวมถูกกระตุ้นด้วยดนตรีแจ๊ส ซึ่งจะเปิดแนวนูแจ๊ส เอซิดแจ๊ส และสวิงแจ๊สฟังสบาย ที่ถึงแม้คุณจะไม่ใช่คอเพลงแจ๊ส แต่ก็รู้สึกเพลิดเพลินไปกับดนตรีได้
สำหรับเครื่องดื่มแน่นอนว่าตัวชูโรงคือบรรดาซิกเนเจอร์ค็อกเทลที่สร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่ให้เข้ากับ Siam Flowers โดยเฉพาะ ชื่อเครื่องดื่มและวัตถุดิบส่วนใหญ่จึงได้แรงบันดาลใจมาจากดอกไม้และผู้หญิง ซึ่งเมนูปัจจุบันปรับให้หลากหลายและเหมาะสำหรับคนทุกเพศและวัยมากกว่า
นอกจากนี้สามารถรีเควสต์ควาสสิกค็อกเทลอื่นๆ ได้ตามใจชอบ แต่หากต้องการจิบเมนูอื่น ก็มีสปิริตส์ เบียร์ ไวน์ และแชมเปญพร้อมเสิร์ฟ ส่วนเมนูอาหาร ที่บาร์แห่งนี้ยังไม่มีให้บริการ เราขอแนะนำให้ทุกคนทานอาหารรองท้องมาก่อนจะดีกว่า
Sunray (ซันเรย์)
บนชั้น 3 ของอาคารพาณิชย์ติดสถานีรถไฟฟ้าสนามเป้า (ทางออก 4) เป็นที่ตั้งของแคชวลบาร์ดีไซน์เท่อย่าง Sunray ซึ่งชื่อร้านแปลตรงตัวว่า ‘แสงอาทิตย์’ ทำให้รู้สึกถึงความอบอุ่น ความสนุก และฤดูร้อน จึงกลายมาเป็นคอนเซ็ปต์หลักในการตกแต่งร้าน รวมถึงออกแบบเมนูอาหารและเครื่องดื่มต่างๆ
เมื่อเข้าไปด้านในร้านจะพบว่าดีไซน์ค่อนข้างผสมผสานจากความชอบของหุ้นส่วนแต่ละคน เน้นสีโทนอุ่นเป็นหลักทั้งโซนอินดอร์และเอาต์ดอร์ (มองเห็นวิวแม่น้ำและพื้นที่โล่งด้านหลังด้วย!) ที่น่าสนใจคือการเล่นกับรูปทรงสี่เหลี่ยมผ่านการใช้กระเบื้องหลากสีหลากไซส์กับผนัง ที่นั่ง โต๊ะ บาร์ หรือแม้กระทั่งภาพกราฟิกที่ฉายไปยังบูทดีเจ แซมด้วยไม้ประดับสีเขียวทั่วร้านที่สร้างความรู้สึกอบอุ่นได้เป็นอย่างดี
ด้วยความตั้งใจที่อยากให้ที่นี่เป็นคอมมูนิตี้ของคนรักเพลง จึงเลือกแนวเพลงและดีเจที่จะมาเล่นอย่างพิถีพิถัน โดยจะเป็นเพลงนอกกระแสทั้งหมดและแตกต่างกันไปในแต่ละวัน เช่น ดิสโก้ ไซคีเดลิกร็อก ดรีมป็อป เรโทร เพลงยุค 80-90 ฯลฯ (มีดีเจทุกวันยกเว้นวันจันทร์)
Sunray ต้องการเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มที่เข้าถึงง่าย จึงออกมาเป็นอาหารฟิวชั่นสูตรเฉพาะจำนวน 11 เมนู เช่น พาสต้า ข้าว ยำ ซี่โครงรมควัน คู่กับเครื่องดื่มที่มีให้เลือกหลากหลายชนิดทั้งซิกเนเจอร์ค็อกเทล คลาสสิกทวิสต์ค็อกเทล (ที่ได้มิกโซโลจิสต์จากร้าน Pour มาช่วยครีเอต) เบียร์ ไวน์ สปิริตส์ ซอฟต์ดริงก์ต่างๆ
หรือหากจู่ๆ ลูกค้าอยากทานคราฟต์เบียร์กับอาหารญี่ปุ่น ก็สามารถสั่งจากสองร้านเพื่อนบ้านอย่าง Bottle Rocket Craft Beer Bar (ชั้น2) และ Bekku Tonkatsu (ชั้น1) ขึ้นมาทานที่บาร์บรรยากาศสบายๆ แต่สุดยูนีกแห่งนี้ได้
Ten Smith Bar (เท็นสมิทธ์บาร์)
ถ้ากำลังหวนคิดถึงวันวานในยุคที่ต้องคอยกรอเทปคาสเซ็ตเพื่อฟังเพลงโปรดซ้ำแล้วซ้ำเล่า หรือการรีบกลับบ้านมาเล่นเกมบอยเครื่องโปรด ต้องลองแวะไปสังสรรค์ที่ Ten Smith Bar สักครั้ง เพราะที่บาร์แห่งนี้คือศูนย์รวมไอเท็มและของเล่นจากยุค 90 ที่เราคุ้นเคย พร้อมบรรยากาศสุดเป็นกันเอง
เมื่อก้าวเท้าเข้าไปด้านในบริเวณชั้น 1 จะพบกับโปสเตอร์หนังเก่าติดไว้เหนือบาร์ให้ลูกค้าได้กลับไปนึกถึงฉากโปรดในภาพยตร์เรื่องต่างๆ ข้างบาร์เป็นที่ตั้งของชั้นหนังสือการ์ตูนแปลที่เด็กทุกคนต้องเคยอ่าน ติดกับเวทีเป็นตู้เพลงที่ลูกค้าสามารถเลือกกดฟังและร้องคาราโอเกะคลอได้ สร้างบรรยากาศเรโทรเบาๆ ด้วยไฟนีออนหลากสีที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ
ขึ้นมายังชั้นสองจะสะดุดตากับป้ายวินเทจและตู้สะสมเทปคาสเซ็ตของศิลปินไทยและต่างประเทศ ที่เราเชื่อว่าหลายคนเคยมีในครอบครอง มีมุมเกมอาร์เคดสุดคลาสสิกและโต๊ะพูลที่สามารถชวนเพื่อนมานั่งเล่นด้วยกันได้ แต่ไฮไลต์ของร้านที่เด็กยุค 90 ไม่เคยลืมคือ บัตรจีบ ที่ร้านจำลองบัตรนี้ขึ้นมาให้ลูกค้าได้ส่งบัตรจีบกันอย่างน่ารัก
นอกจากนี้ยังมีดริงกิ้งเกมต่างๆ ให้ทุกคนได้เล่นสนุก พลางฟังเพลงไทย-สากล จากวงดนตรีสดและดีเจ ซึ่งจะเล่นเพลงหลากหลายยุคสมัย ที่ดีคือลูกค้าสามารถรีเควสต์เพลงที่อยากฟังจากบัตรขอเพลงที่ร้านทำขึ้นมาให้โดยเฉพาะได้
เมนูอาหารจะเป็นอาหารนานาชาติ ทั้งไทย อเมริกัน ญี่ปุ่น แล้วนำมาฟิวชั่นเป็นสูตรของทางร้าน มีทั้งเมนูวัยเด็กเช่น แกงจืดไข่น้ำหมูสับ ไส้กรอกทอด อาหารจานหลัก กับแกล้ม และอีกมากมายที่สามารถมีมื้อเย็นอิ่มท้องได้เลย ส่วนเครื่องดื่มเน้นแอลกอฮอล์ทั่วไปอย่าง สปิริตส์ต่างๆ เบียร์ ค็อกเทล เป็นต้น
This Must Be The Bar (ดิสมัสต์บีเดอะบาร์)
มีบาร์คราฟต์เบียร์หนึ่งซ่อนตัวอยู่ใต้โฮสเทล Good’uck ย่านสีลม ที่เกิดจากความต้องการนำเสนอให้คนไทยและต่างชาติได้รู้จัก รวมถึงเข้าใจว่าคราฟต์เบียร์โลคัลของบ้านเราก็ดีเหมือนกัน เพราะฉะนั้น 80 เปอร์เซ็นต์ของเบียร์ที่ This Must Be The Bar แห่งนี้ จึงเป็นเบียร์คราฟต์ไทย และอีก 20 เปอร์เซ็นต์เป็นเบียร์ต่างประเทศที่เหล่าหุ้นส่วนชื่นชอบ
ความเป็นกันเองราวกับนั่งดื่มที่บ้านของร้าน นอกจากจะถ่ายทอดออกมาผ่านดนตรีและกิจกรรมที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ อย่างบางวันอาจเป็นฮิปฮอปไนต์ บางครั้งก็เปิดเพลงให้ร้องคาราโอเกะกันสนุกสนาน ยังนำเสนอผ่านการตกแต่งที่ไม่ปรุงแต่งมากนัก เช่น ขวดเบียร์คราฟต์เปล่าที่นำมาดิสเพลย์ไว้บนคานร้าน ชุดเฟอร์นิเจอร์ที่ไม่เข้าชุดกันแต่กลับลงตัว
สำหรับคอเบียร์ ที่ร้านจะมีให้เลือกดื่มทั้งหมด 4 แท็ป และจะเปลี่ยนชนิดเบียร์ไปเรื่อยๆ ระยะเวลาของการนำตัวใหม่เข้ามานั้นไม่แน่นอน แต่ปกติจะอยู่ในร้านให้ลูกค้าได้ลองจิบกันไม่เกินหนึ่งอาทิตย์ครึ่งเท่านั้น หมายความว่าเราจะได้ดื่มเบียร์ใหม่ๆ ที่น่าสนใจอยู่ตลอดเวลานั่นเอง
นอกจากนี้ยังมีซีเล็กชั่นของเบียร์ขวดและกระป๋องอีกกว่า 20 ตัว ที่สามารถดื่มคู่กับอาหารทานเล่นง่ายๆ อย่างถั่วญี่ปุ่น ไก่จ๊อ เนื้อย่าง หรือไก่คาราเกะได้ตามใจชอบ (จานละ 100 บาท)
หากใครดื่มจนเมามายและกลับบ้านไม่ไหว ก็สามารถขึ้นไปจองห้องพักของโฮสเทลสักคืน อาบน้ำ นอนหลับให้สร่าง แล้วค่อยกลับอย่างปลอดภัยในตอนเช้าก็ย่อมได้
To More (ทูมอร์)
To More เป็นบูทีกบาร์ในย่านเจริญกรุงที่ตั้งใจฉีกจากภาพมิวสิกบาร์เดิมๆ มาเป็นเพอร์ฟอร์แมนซ์บาร์ มีเวทีการแสดงเล็กๆ ให้คนได้มาปล่อยของ บวกกับความชอบของทีมหุ้นส่วนในละครเพลงเรื่อง Moulin Rouge ที่เล่าเรื่องราวหลังม่านของโรงละครมูแลงรูจในกรุงปารีส จึงกลายเป็นที่มาของการออกแบบและตกแต่งร้านสุดวินเทจในธีมโรงละครยุค 40-50
องค์ประกอบทุกอย่างของร้านจึงเล่าแนวคิดนี้อย่างชัดเจน โดยใช้สีแดงเป็นหลัก ทั้งม่านกำมะหยี่ ชุดโซฟาหนัง เก้าอี้บาร์กลม ใช้เคาน์เตอร์บาร์โค้งและโต๊ะไม้สีเข้มตัดโทน และเล่นกับแสงด้วยไฟกลมสะท้อนกระจก ที่ให้ความรู้สึกราวกับนั่งอยู่ในแจ๊สบาร์ที่นิวยอร์ก
ด้วยความตั้งใจทำเป็นเพอร์ฟอร์แมนซ์บาร์ จึงเปิดโอกาสให้คนได้มาแสดงอะไรใหม่ๆ อยู่เสมอ ในช่วงแรกที่เปิดให้บริการ มีทั้งโชว์มายากล เต้นบัลเล่ต์ เดี่ยวเปียโน ฯลฯ
ส่วนการแสดงในปัจจุบันจะแตกต่างกันไปในแต่ละวัน โดยวันอังคาร-พุธจะเป็นโชว์ต่างๆ แล้วแต่สัปดาห์ วันพฤหัสบดีเป็นโซโล่ดนตรีสดในแนวเพลงบลูส์ วันศุกร์-เสาร์เป็นการแสดงเพลงฟังก์ แจ๊ส สวิงแจ๊สโดยวงดนตรีฟูลแบนด์ วันอาทิตย์เป็นไวนิลเดย์สำหรับคนรักเพลงจากแผ่นเสียง
แน่นอนว่าคอนเซ็ปต์โรงละครจะต้องถ่ายทอดผ่านเครื่องดื่มด้วย ชื่อของซิกเนเจอร์ค็อกเทลแต่ละเมนูจึงมาจากละครเวทีชื่อดังเช่น Chicago, Miss Saigon, Phantom of Opera นอกจากนี้ก็มีเบียร์สด ค็อกเทลเบียร์ ม็อกเทล และซอฟต์ดริงก์ต่างๆ
หากต้องการทานสแน็กรสอร่อย แนะนำให้มาที่ To More ช่วงวันพฤหัสบดี-อาทิตย์ เพราะร้านร่วมมือกับร้านอาหารไทยโบราณอย่าง ‘สำรับสำหรับไทย’ รังสรรค์เมนูทานเล่นรสอร่อยให้ลิ้มลอง เช่น ไก่ทอด ปลาหมึกย่างพริกแกง เนื้อวากิวแดดเดียว เป็นต้น
Yoshi Bar (โยชิบาร์)
ร้านอาหารและสาเกบาร์แห่งนี้ ตั้งอยู่ติดกับ RUU Music Bar ในคอมมูนิตี้มอลล์ 9:53 Art Mall ที่เกิดขึ้นจากความตั้งใจให้คนที่ไม่รู้จักหรือไม่มีความรู้เกี่ยวกับสาเกมาก่อน ได้ลองดื่มและเอ็นจอยเครื่องดื่มชนิดนี้ในบรรยากาศสบายๆ เป็นกันเอง
Yoshi Bar มีพื้นที่ทั้งหมด 2 ชั้น การออกแบบและตกแต่งโดยรวมเน้นความเรียบง่ายสไตล์ญี่ปุ่น ใช้โทนสีเหลือง-ดำ และเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่ให้ความรู้สึกโฮมมี่ โดยชั้นแรกเป็นโต๊ะสูง บริเวณหน้าบาร์มีชั้นวางขวดสาเกที่เปรียยบเหมือนโชว์เคสให้คนได้รู้จัก ส่วนบริเวณชั้นสองค่อนข้างเป็นส่วนตัว ปูด้วยเสื่อและใช้โต๊ะญี่ปุ่นเล็กๆ สามารถเลือกนั่งได้ตามใจชอบ
ซีเล็กชั่นสาเกที่นี่มีมากกว่าสิบชนิด ซึ่งในเมนูเครื่องดื่มจะมีข้อมูลอธิบายไว้ว่ามีสาเกชนิดใดบ้างสำหรับคนที่ยังไม่รู้จักสาเกดี นอกจากนี้ก็มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของญี่ปุ่นประเภทอื่นเช่น เบียร์ ชูไฮ สปิริตส์ญี่ปุ่น ลิเคียวร์ หรือค็อกเทลญี่ปุ่น
คู่กับอาหารญี่ปุ่นแบบออริจินัล ทั้งประเภททานเล่นและจานหลัก โดยมีมากกว่า 20 เมนูพร้อมเสิร์ฟ เช่น โอเด้ง ยากิโซบะ ทาโกะวาซาบิ เนื้อย่าง โอเด้ง และอีกมากมาย
ระหว่างอิ่มอร่อยไปกับสาเกและอาหารถูกปาก ที่ร้านมักจะเปิดเพลงแจ๊สฟังสบายเป็นหลัก โดยทุกวันเสาร์จะพิเศษตรงที่มีปาร์ตี้เพลงเฮาส์และเทคโนให้ได้โยกเบาๆ หรือบางคืนอยากจะฉีกแนวไปเลยก็มีเพลงเรกเก้สนุกๆ มาแจมบ้าง