George Maple หญิงสาวผู้เป็นศิลปิน เลิฟเวอร์ และแชมเปี้ยน
George Maple (จอร์จ เมเปิล) หรือชื่อจริง Jess Higgs (เจส ฮิกส์) ศิลปินอิเล็กโทรนิก้าสาวจากซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ผู้หลงใหลในแฟชั่น เธอเริ่มเป็นที่รู้จักในวงการเพลงจากการร่วมงานกับศิลปินหลายคนตั้งแต่ปีค.ศ. 2011 เช่น Flight Facilities ในเพลง Foreign Language, Flume ในเพลง Bring You Down (2012), Snakehips ในเพลง On & On (2013) และ Deetron ในเพลง Rescue (2013) ฯลฯ
จากนั้นในเดือนตุลาคมปีค.ศ. 2014 เธอได้ปล่อยอัลบั้มเต็มเดบิวต์ในชื่อ Vacant Space ก่อนห่างหายไปถึงสามปี และกลับมาพร้อมอัลบั้ม Lover ที่ประกอบไปด้วย 20 เพลง ล้วนแล้วมีกลิ่นอายของบีตอาร์แอนด์บี ผสมกับดาวน์เทมโปกรูฟ เล่าเรื่องผ่านเนื้อเพลงที่มีความหมายลึกซึ้ง เช่น Sticks And Horses ที่ได้ GoldLink มาฟีตเจอริ่งด้วย หรือเพลงอินเทอร์ลูดที่เล่าเรื่องราวในอัลบั้มอย่าง Lover
ล่าสุด George Maple พึ่งปล่อยซิงเกิลใหม่ ‘Champion’ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ เป็นเพลงเปิดตัวอัลบั้ม GM2 ที่กำลังจะปล่อยเร็วๆ นี้ Siam2nite จึงได้โอกาสพูดคุยกับ George Maple เกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ เราไปทำความรู้จักตัวตนและเรื่องราวการเดินทางในสายดนตรีของเธอกันเลย
เราได้ยินมาว่าชื่อในวงการ ‘George Maple’ มาจากตัวตนอีกด้านหนึ่งของคุณในฐานะ ‘Jess Higgs’ อธิบายให้เราฟังได้ไหมว่าแตกต่างกันอย่างไร และเพราะอะไรจึงเลือกใช้ชื่อนี้
George Maple เป็นคอนเซ็ปต์ที่ฉันคิดขึ้นมาเพื่อให้ตัวเองสร้างสรรค์งานได้อย่างอิสระ ในช่วงแรกมันเป็นเหมือนการหนีจากโลกแห่งความเป็นจริงซะมากกว่านะ เป็นตัวละครสมมติที่ฉันปั้นขึ้นมาเพื่อใช้หลบซ่อน แต่พอเวลาผ่านไป George Maple ก็กลายเป็นผืนผ้าใบที่สร้างแรงบันดาลใจให้ฉัน เป็นหนทางให้ฉันได้แสดงประสบการณ์และมุมมองต่อเรื่องราวในชีวิต ฉันคิดว่าสองตัวตนนี้มีความผูกพันต่อกันอย่างลึกซึ้งขึ้นขณะที่ฉันเติบโตขึ้น ทั้งในด้านการสร้างสรรค์ผลงานและด้านส่วนตัว ทุกวันนี้ฉันถือว่าทั้งสองตัวตนเป็นหนึ่งเดียวกันค่ะ
สไตล์เพลงอิเล็กทรอนิก้าของคุณมีส่วนผสมของหลากหลายแนว ทั้งกลิ่นอายของอาร์แอนด์บี และแดนซ์นิดๆ ไม่ทราบว่าคุณได้รับอิทธิพลมาจากไหน เล่าเรื่องราวของการเริ่มทำเพลงแนวนี้ให้เราฟังได้ไหม
ฉันเริ่มแต่งเพลงมาตั้งแต่อายุ 9 ขวบแล้วค่ะ ฉันรักการถ่ายทอดเรื่องราวมาก การแต่งเพลงเป็นวิธีเล่าเรื่องวิธีหนึ่ง การโปรดิวซ์เพลงก็เป็นอีกวิธีหนึ่งเช่นกัน ความจริงแล้วงานทั้งหมดก็คือความต้องการที่จะแสดงตัวตนผ่านผลงานสร้างสรรค์ของฉันเองนั่นแหละค่ะ ฉันว่าฉันได้รับอิทธิพลมาจากเพลงแนวโซล ดิสโก้ และแจ๊ส เพราะพวกนี้เป็นแนวเพลงที่ฉันหลงใหลมาตั้งแต่เด็กๆ และก็เป็นแนวเพลงที่ให้กำเนิดแนว R&B และแดนซ์ในปัจจุบันอีกด้วย ฉันเลยคิดว่าเส้นทางแนวเพลงของฉันก็ไม่ใช่สิ่งที่แปลกอะไร
ที่ผ่านมาคุณได้ร่วมงานกับศิลปินมาแล้วมากมาย ทั้ง DJ Snake, What So Not, Flume, Goldlink, Flight Facilities, Deetron, Grande Marshall และอีกมากมาย คุณหาจุดกึ่งกลางร่วมกันระหว่างสไตล์ของคุณและของศิลปินคนอื่นอย่างไร
ฉันชอบการทำงานแบบนี้นะ เพราะฉันว่าวิธีนี้ทำให้เกิดผลงานสร้างสรรค์ที่ยอดเยี่ยมเลย ฉันค่อนข้างจะมีความเป็นตัวของตัวเองสูง ผลงานฉันเลยจะมีเอกลักษณ์ในแบบตัวเองเสมอ ฉันมองหาวิธีใหม่ๆ อยู่ตลอดเพื่อใช้ผลักดันตัวเองในด้านความคิดสร้างสรรค์ และเพื่อให้กระบวนการทำงานไม่ติดกรอบจนจำเจ ฉันว่าการร่วมงานกับศิลปินอื่นๆ เป็นวิธีที่ดีในการทำให้เรายังมีแพชชั่นและผลิตงานที่มีความสดใหม่ได้ตลอดค่ะ
มีศิลปินคนไหนที่คุณอยากร่วมงานด้วยบ้าง เพราะอะไร
ฉันเป็นแฟนตัวยงของ Kanye West มาตลอดเลย ฉันว่าเขาท้าทายกรอบจำกัดหลายๆ อย่าง แล้วก็ยังเป็นศิลปินที่มากประสบการณ์อีกด้วย อีกด้านที่ฉันสนใจก็คือการร่วมงานกับวงการมัลติมีเดียหรือว่าภาพยนตร์ ยิ่งได้ศึกษากระบวนการผลิตงานด้านนี้ให้ลึกซึ้งขึ้น ฉันก็ยิ่งได้เรียนรู้อะไรๆ มากขึ้นและยิ่งรู้สึกทึ่ง ถ้าเป็นไปได้ฉันอยากจะร่วมงานกับสุดยอดสเตจดีไซเนอร์อย่าง Es Devlin หรือว่าผู้กำกับอย่าง Sophie Coppola ค่ะ
หากให้คุณแนะนำเพลง 1 เพลงที่แสดงความเป็น ‘George Maple’ มากที่สุด จะเป็นเพลงใด เพราะอะไร
ข้อนี้ตอบยากมากนะ! คำตอบมันเปลี่ยนตลอดแล้วแต่ช่วงเวลาเลย ฉันว่าทุกๆ เพลงก็แสดงด้านใดด้านหนึ่งของ George Maple ได้หมด ฉันชอบการที่เราเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา และไม่ต้องถูกขีดเส้นจำกัดให้อยู่แค่ในพื้นที่ใดพื้นที่เดียว
นอกจากซิงเกิลและการไปร่วมงานกับศิลปินอื่นๆ แล้ว คุณปล่อยผลงานเพลงออกมาทั้งหมด 2 อัลบั้ม ได้แก่ Vacant Space (ค.ศ. 2014) และ Lover (ค.ศ. 2017) ซึ่งระยะเวลา 3 ปีที่หายไปนั้น ส่งผลให้แนวเพลง หรือวิธีการทำงานของคุณเปลี่ยนแปลงไปบ้างไหม
ช่วงสามปีนั้นเป็นช่วงที่ฉันได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างเลย ทั้งด้านการสร้างสรรค์ผลงานแล้วก็ด้านชีวิตส่วนตัว ฉันว่าช่วงไม่กี่ปีให้หลังมานี้เป็นช่วงที่เปลี่ยนชีวิตฉันไปเลยนะ คือคนเราก็เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่ฉันเพิ่งได้ผ่านช่วงที่ทำให้ฉันเติบโตอย่างก้าวกระโดด และต้องฝ่าฟันอุปสรรคในชีวิตส่วนตัว และฉันดีใจที่มีโอกาสได้ผ่านประสบการณ์ต่างๆ นั้นมา เพราะมันทำให้ฉันแกร่งขึ้นมากค่ะ พร้อมรับมือกับเรื่องราวใหม่ๆ ที่จะผ่านเข้ามา ทั้งเรื่องการสูญเสีย ความตาย ความเจ็บปวด และเรียนรู้ที่จะลุกขึ้นยืนอีกครั้งและสู้ต่อไป
หากดนตรีคือชีวิต แล้วแฟชั่นคืออะไรสำหรับคุณ เล่าจุดเริ่มต้นที่ทำให้คุณสนใจด้านแฟชั่นให้เราฟังได้ไหม
แฟชั่นเป็นอีกทางที่ให้ฉันได้แสดงออกถึงความสร้างสรรค์ มันเป็นศิลปะที่สร้างแรงบันดาลใจได้อย่างดีเลยค่ะ ยิ่งฉันศึกษาเรื่องประวัติความเป็นมาของดีไซเนอร์ ศิลปิน และแฟชั่นไอค่อนต่างๆ ก็ยิ่งหลงใหลศิลปะแขนงนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ทุกรายละเอียดเป็นสิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจให้ฉันได้ ตั้งแต่ดีเทลของเนื้อผ้า ไปจนถึงการจัดองค์ประกอบและแนวคิด
การทำเพลงและแฟชั่นเป็นหนึ่งในวิธีที่คุณเล่าความเป็น ‘George Maple’ และนำเสนอออกมาเป็นผลงานเพลงและภาพลักษณ์อย่างที่เราได้รับรู้กัน ซึ่งทั้งสองช่องทางนี้ อธิบายตัวตนของคุณเหมือนหรือต่างกันอย่างไร
ฉันว่าทั้งสองสิ่งเชื่อมโยงกันอยู่นะ มันส่งเสริมกันและกัน ยิ่งฉันทุ่มเวลาและความคิดให้กับการทำคอนเซ็ปต์ของเพลงฉันให้ชัดเจนและเป็นหนึ่งเดียวกัน ผลงานที่มีการผสมผสานศิลปะหลายแขนงแบบนี้ก็ยิ่งมีความโดดเด่นขึ้น
นอกจากการทัวร์ที่ออสเตรเลีย ยุโรป และอเมริกาเหนือในปีค.ศ. 2019 นี้ จะมีผลงานหรือโปรเจคอะไรให้แฟนๆ ติดตามบ้างไหม
มีอัลบั้มชุดใหม่ค่ะ :)
ฝากอะไรถึงแฟนเพลงชาวไทยของคุณหน่อยได้ไหม
ขอบคุณทุกคนในเมืองแสนน่ารักแห่งนี้ที่ให้การต้อนรับฉันอย่างดีนะคะ ฉันจะตั้งตารอการกลับมาเยือนครั้งหน้า ที่หวังว่าจะได้อยู่นานกว่าครั้งนี้ และจะนำผลงานเพลงมาให้ทุกคนได้สัมผัสกัน