Ben Nicky พูดถึงค่ายเพลงใหม่ ความหลงไหลในเพลงร็อก และการร่วมงานกับ Porter Robinson
Ben Nicky นั้นเป็นชื่อที่ทุกคนในวงการ Trance รู้จักกันดีมาเป็นเวลานาน เขาเป็นทั้งดีเจและโปรดิวเซอร์สุดคูลที่โดดเด่นมากจากความสามารถในการสร้าง set อันเร้าใจจากการผสมผสานแนวเพลง Trance, Psy, Techno และ Hardstyle ได้อย่างลงตัว นับตั้งแต่ปี 2012 ที่เขาเข้าวงการ เขาก็ได้รับขนานนามว่าเป็น “Badboy of Dance” จากดีเจ Trance ตัวพ่ออย่าง Armin van Buuren และ “ดีเจระดับแนวหน้าของดนตรี Trance แนวใหม่” โดยยอดฝีมืออย่าง Diplo ปี 2017 ที่ผ่านมานั้นเต็มไปด้วยเรื่องดี ๆ สำหรับดีเจคนดังจากเมือง Bristol คนนี้ เขาได้ไปเล่นบนเวทีระดับโลกมากมาย เช่น EDC Las Vegas, Tomorrowland และ Creamfields อีกทั้งเดินสายเป็น headliner แสดงตามงานปาร์ตี้ทั่วโลกอีกด้วย ด้วยเพลงฮิตติดชาร์ทที่ออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน, สไตล์ที่เป็นของตัวเอง และแผนงานครั้งใหญ่สำหรับปี 2018 เราไม่สงสัยเลยว่า Ben Nicky เป็นหนึ่งในตัวเต็งของวงการ ในฐานะศิลปินหน้าใหม่ไฟแรงของแนว Trance เราได้มีโอกาสพูดคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวก่อนที่เขาจะขึ้นแสดงที่งาน Transmission Festival ในกรุงเทพ เขาพูดถึงเรื่องค่ายเพลงใหม่ของเขา ความหลงใหลที่มีต่อเพลงร็อก และ ความฝันที่จะได้ร่วมงานกับดีเจระดับโลกอย่าง Porter Robinson อ่านต่อกันได้เลย!
ฉันเคยอ่านเจอว่า คุณชื่นชอบการตีกลองมากและมีความเป็นร็อกเกอร์อยู่ไม่น้อย Trance กับ Rock นั้นห่างไกลกันมากเลยนะ เรื่องนี้มีความเป็นมาอย่างไรบ้าง
พ่อของผมนั้นเป็นสมาชิกวงร็อกเกือบทั้งชีวิตจนกระทั่งผมเกิดมา ผมก็พยายามจะเป็นเหมือนพ่อ แต่มันก็ไม่ใช่ตัวผม สำหรับผม ผมคิดว่าดนตรีร็อกเป็นเหมือนกับพื้นฐานของครอบครัว ก่อนที่ผมจะก้าวเข้าสู่วงการ Trance ผมจะคลุกคลีอยู่กับ Drum & Bass อยู่พักใหญ่ แล้วก็ค่อย ๆ ขยับเข้าหา Trance จนตอนนี้เล่นมันเกือบทุกอย่าง แต่ความเป็นร็อกก็ยังอยู่ในสายเลือดของครอบครัวผมเสมอ ผมก็เลยนำ image ของชาวร็อกมาผสมผสานกับส่วนของความเป็น Trance ที่ผมมี ออกมาเป็น ดีเจ Trance ที่ดูเหมือน Rockstar อะไรทำนองนั้น
คุณมีความฝันที่จะเป็นดีเจมาโดยตลอดหรือเปล่า
ก็ใช่นะ ผมเป็นเด็กที่เรียนไม่เก่งและตอนนั้นก็เป็นดีเจที่ห่วยมากเช่นกัน พอผมอายุ 21 ผมก็นั่งอยู่ในชั้นใต้ดินที่บ้านแล้วก็ซ้อมอย่างหนักเป็นเวลาสองปีเต็ม ถึงตอนนี้ผมคิดว่าผมน่าจะโอเคแล้วนะ (หัวเราะ)
ต้องยิ่งกว่าโอเคอยู่แล้วสิ! ทีนี้มาพูดถึงเรื่องเพลงใหม่ที่เพิ่งออกมาของคุณกันดีกว่า รู้สึกจะเป็นรีมิกซ์ของเพลง “Feel the Volume” ของ Jauz ซึ่งตอนที่เขาเอาไปเล่นที่ Tomorrowland ที่แล้วนั้น เสียงตอบรับออกมาดีแบบสุดๆ ไปเลย
ใช่ ๆ ผมเริ่มรู้สึกว่าผมทำแต่เพลงแนวเดิม ๆ มานาน และอยากจะทำอะไรที่แตกต่างบ้าง ในขณะที่แนว Psytrance เริ่มเติบโตมากขึ้น ผมอยากทำอะไรที่มันเร็วขึ้นและใหญ่ขึ้นไปอีก ผมอยากให้มันได้รับความนิยมที่อเมริกาเพราะผมอยากจะเข้าถึงตลาดนี้มาก ผมทำรีมิกช์ให้ Jauz แบบขำ ๆ ไม่ได้คิดอะไร พอเราเจอกันที่ Tomorrowland เขาก็บอกผมว่า อยากจะเล่นมันตอนนี้เลย! หลังจากนั้น Diplo ก็มาร่วมแจมด้วยพร้อมทั้งบอกว่า “ผมอยากให้เพลงนี้มาอยู่ในสัญญาค่ายเพลงของผม”
สุดยอดไปเลย! ทั้ง ๆ ที่คุณเพียงทำมันเล่น ๆ นะเนี่ย
มันเป็น bootleg เล็ก ๆ ที่กลายเป็นอะไรที่มากกว่าที่ผมคิดไว้ แต่ต้องบอกนะครับผมเองก็แอบคิดว่ามันดีมากและอยากให้มันดังขึ้นมา จะบอกว่ารู้อยู่แล้วก็ได้ (หัวเราะ)
พูดถึงแนว Psytrance แล้ว คุณนี่ถือว่าเป็นแนวหน้าเลย
ห้ะ!? จริงเหรอ?
จริงสิ เราไม่ได้พูดเล่น!
โอ้ว ผมก็ไม่ได้อยากรับเครดิตอะไรมากเลยครับเพราะผมรู้สึกว่าวงการ Psytrance นั้นเฉพาะทางมาก แถมยังค่อนข้างชัดเจนอีกด้วย ผมเองไม่ได้มีความเป็น Pure Psytrance เท่าไหรหรอก มีอีกตั้งหลายคนที่ผมชื่นชอบ ทั้ง Astrix, Freedom Fighters, Coming Soon พวกนี้แหละเก่งจริงและเป็นสาย Psytrance แท้แน่นอน ผมชอบ Pure Psytrance มาก ๆ แต่ผมบอกเลยว่าผมไม่ใช่ ผมเป็นชนิดที่เล่นมันทุกอย่างและทำตามใจตัวเอง เพราะฉะนั้นถึงแม้ผมจะเล่น Psytrance เยอะ ผมเล่นแบบที่เรียกได้ว่าไม่ปกติ ผมเล่นแต่แทร็กสั้น ๆ
เพราะอย่างนั้นถึงเรียกว่า Ben Nicky “Headfuck”
ใช่ เพราะผมจะเล่นเพลงหนึ่งสักประมาณแค่สองนาทีก่อนที่จะเปลี่ยนเพลง ไม่ได้เล่นนานถึงสิบนาทีเหมือนปกติ ผมคิดว่าคนสมัยนี้สมาธิสั้นมาก วัยรุ่นสมัยนี้คงไม่อยากฟังจังหวะเดิมๆเล่นวนไปนานกว่ายี่สิบนาทีหรอก พวกเขาต้องการเพลงใหม่เรื่อยๆ ผมคิดว่าสไตล์ของผมมันเข้ากับคนรุ่นใหม่ได้ดี และ Psytrance ก็เป็นหนึ่งในนั้น ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นผู้นำแห่ง Psytrance ผมคงต้องบอกว่า Astrix คือเบอร์หนึ่งของแนว Psytrance ดั้งเดิม แต่หากถ้าเราพูดถึงรูปแบบที่เปิดกว้างมากกว่า แบบที่มีทั้ง Trance, Psytrance และ Hardstyle ผสมกันได้ แบบนั้นก็อาจจะ…
อาจจะ?
อาจจะเรียกว่าดังได้ (หัวเราะ) ผมคงไม่ชมตัวเองให้ใหญ่โตหรอก! (หัวเราะ) คอยดูยอดขายตั๋วเอาเองละกัน!
ความเป็นแบรนด์ของคุณที่เรียกว่า “Headfuck” นั้นเติบโตอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แถมคุณยังมีลุคที่ออกแนวคูล ๆ ในแบบของตัวเองที่แฟน ๆ ทุกคนต่างชื่นชอบอีกด้วย คุณคิดว่าการสร้างแบรนด์ที่ดีนั้นสำคัญพอๆ กับการสร้างผลงานที่ดีสำหรับเหล่าดีเจหน้าใหม่ ๆ ไหม
แน่นนอน 100%! คุณไม่ต้องเป็นถึงโปรดิวเซอร์ขั้นเทพเพื่อที่จะเป็นสุดยอดดีเจหรอก ผมเองก็ไม่ได้เก่งอะไรขนาดนั้น แต่ผมมีคนที่คอยช่วยเหลือผมตลอดมา แต่หากคุณมีแบรนด์ที่แข็งแรงและลุคที่ไม่เหมือนใครนั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง ผมนี่โชคดีเพราะวงการ Trance นั้นค่อนข้างเก่าแก่ ดีเจหลาย ๆ คนเลยแก่ว่าผมค่อนข้างมาก ผมเองไม่ได้เด็กขนาดนั้น แต่ก็ยังถือว่าอายุน้อย ทำให้มีแฟน ๆ อายุน้อยตามไปด้วย ผมเลยโดดเด่นมากและทำให้คิดว่าวงการนี้เป็นวงการที่ดีที่ผมจะประสบความสำเร็จ หากเป็นวงการ EDM ผมไม่ดังขนาดนี้แน่นอน แบรนด์ Headfuck นั้นก็เป็นเหมือนตัวตนของผม ผมแตกต่าง ผมบ้า ถ้าไม่ชอบผมก็เกลียดผมไปเลย มันทำให้ผมโดดเด่น ในโลกของ Marketing และ Branding คุณไม่ควรจะเลียนแบบใคร Ben Nicky’s “Headfuck” คือตัวผมและผมคิดว่าทุกคนสามารถเห็นได้ทั่วทั้งโลกออนไลน์ ผมอาจจะทำตัวบ้าๆ แต่ผมก็พยายามเจอแฟน ๆ ให้ได้มากที่สุด ผมว่ามันทำให้พวกเขาเข้าใจผมมากขึ้นและดีใจเป็นอย่างมาก
การแสดงนั้นดูเหมือนจะเป็นอะไรที่อยู่กับตัวคุณมาตั้งแต่เกิด แล้วการเป็นดีเจกับโปรดิวเชอร์ อันไหนมาก่อนกัน
ผมเป็นดีเจตั้งแต่ตอนที่ผมยังไม่เคยคิดถึงเรื่องทำเพลงด้วยซํ้า ผมได้เรียนรู็ถึงการเป็นดีเจก่อน มันทำให้ผมได้แสดงหลายที่ เรื่องการเป็นโปรดิวเซอร์ผมก็ค่อยๆ มาไล่จับคนอื่นเอาเองทีหลัง ช่วงนี้ผมเองก็ทัวร์หนักมาก ไม่มีเวลาเข้าสตูดิโอเลย บางทีต้องเปิดคอมขึ้นมาทำงานบนเครื่องบินก็มี
ทำทุกอย่างด้วยตัวเองเลยเหรอ?
ผมมี co-producer คอยช่วยเหลือเหมือนกับ Armin และคนอื่นๆ รู้สึกโชคดีมากๆ เลยจริงๆ
ดีเจอย่าง Tiesto และคนอื่นๆ ก็ทำกัน!
ใช่ๆ เพราะมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คุณคิดนะ คนชอบคิดว่าผมจะได้นั่งในสตูดิโอเป็นเดือนๆ แต่เอาเข้าจริงๆ แต่ละเดือนมีงานต้องไปเล่นกว่า 20 งาน สตูดิโอนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย หน้าพ่อแม่ยังไม่เจอเลย! ผมเลยใช้วิธีส่งไอเดียกลับไปให้ผู้ช่วยลองดูว่าทำยังไงได้บ้าง แล้วพอผมบินไปถึงก็มุ่งตรงไปที่สตูดิโอแล้วทำงานกันต่อเลย นี่คือวิธีที่ดีที่สุดของผมแล้ว เหมือนแบบ Above & Beyond ที่เขามีถึง 3 คน -
ต้องมีคนช่วย ดูช่วยฟังอีกแรงใช่ไหม
ใช่เลย ผมไม่อยากนั่งอยู่ในสตูดิโอ 2 วันติดหรอก โดยเฉพาะหลังจากที่ผมต้องบินเป็นเวลาเกือบ 2 วันตอนไปทัวร์
โห เหนื่อยมากเลยนะ แบบนั้น หมดไฟตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มเลย
ใช่ครับ ใครไม่อยู่ในจุดเดียวกันคงไม่เข้าใจหรอกครับ มีดีเจหลายคนที่ไม่ได้ยุ่งอะไรขนาดนั้น แต่ผมคงเป็นดีเจที่ยุ่งเกือบที่สุดในโลกแล้วก็ว่าได้ ปีที่แล้วผมสะสมไมล์บินได้เกือบห้าแสนไมล์ มันเลยยากมากที่จะทำทั้งสองอย่าง แต่สมัยนี้การเป็นโปรดิวเซอร์ไม่ได้ทำเงินได้ขนาดนั้น แต่การออกทัวร์นั้นได้เงินเยอะอยู่ ผมเลยต้องให้ความสำคัญกับมันมากกว่าเพราะผมเองก็มีภาระ รอยสักพวกนี้เขาไม่ได้ทำให้ฟรีๆ นะครับ! (หัวเราะ)
มีตอนไหนในอาชีพของคุณไหม ที่คุณรู้สึกเหมือนกับว่า “เนี่ยแหละคือสิ่งที่ฉันต้องการและต้องการทำต่อไปตลอดทั้งชีวิต”
คุณรู้อะไรไหม ผมเชื่อเรื่องกฎแรงดึงดูดนะ ผมเลยอ่านหนังสือเกี่ยวกับวิธีคิดบวกอะไรพวกนี้มากขึ้น ผมมีเป้าหมายที่ผมต้องไปถึงให้ได้อยู่เสมอ มันอาจจะฟังดูแย่แต่ผมพูดได้เต็มปากว่าผมได้ถึงเป้าหมายหมดแล้ว! ถึงตอนนี้ผมเองก็ยังอยากได้อะไรอีกสักอย่างสองอย่าง แต่สิ่งที่ผมฝันถึงบ่อยที่สุดเลยคือการได้เล่นที่ Cream Ibiza ตั้งแต่เด็กๆ แล้ว
แล้วคุณก็ได้ไปมาแล้ว!
ใช่แล้ว! จริงๆ แล้วมีอีกอย่างคืออยากจะจัดงานของผมเองแล้วขายบัตรแบบหมดเกลี้ยง แล้วเราก็ทำได้ไปแล้วที่ Belfast เมื่อปีก่อนกับผู้ชมกว่า 6,000 คน ต่อมาผมก็มีฝันที่อยากจะเป็นแบรนด์ของตัวเองโดยไม่ต้องทำตามใคร ผมอยากให้คนรักผม ชอบผมโดยที่ผมเป็นตัวเอง ผมอยากเป็น “Ben” และผมก็ทำได้! คิดดูดีๆ ผมก็ทำในสิ่งที่อยากทำไปเยอะแล้วนะครับ ถ้าพรุ่งนี้ตายผมก็แฮปปี้
คุณคงพอใจกับทุกสิ่งที่คุณทำสำเร็จแล้วจริงๆ
ผมพอใจแล้วจริงๆ ผมคงเกษียณได้แล้วล่ะ ในอีกไม่นาน เจ๋งสุด ๆ ไปเลย ผมรู้สึกโชคดีจริงๆ
มีศิลปินคนไหนที่คุณชอบฟังเป็นพิเศษไหม?
อาจเป็นเรื่องน่าตกใจ แต่ผมไม่ฟัง Trance เลยนอกเวลางาน คงเพราะปกติผมฟังมันจนจะมากเกินไปอยู่แล้ว ดีเจคนโปรดของผมเลยคือ Porter Robinson! แล้วก็ Madeon ด้วย พวกเขาคือดีเจคนโปรดสองคนของผมจริงๆ
โอ้วจริงหรือป่าวเนี่ย? คุณคงชอบเพลง “Shelter” มากๆ เลยสิ
ไม่ชอบก็แย่แล้ว! แล้ว “Shelter” ทัวร์ ที่ Coachella นะ -
คุณได้ไปหรือเปล่า?
เปล่าครับ! แต่ตอนนี้ผมมีเอเยนท์คนเดียวกับ Porter สำหรับดูแลทางอเมริกาเหนือ หวังว่าจะได้เจอเขาสักที บังเอิญจริงๆ ที่ mashup ครั้งแรกชีวิตของผมเลยคือสำหรับ Porter
ฉันจำเพลง Language จากเมื่อก่อนได้เลย ชอบมากด้วย
ใช่ ๆ ผมก็ชอบ
ถ้ามีโอกาส คุณอยากจะร่วมงานกับ Porter ไหม
โหคุณ! ผมเลิกเป็นดีเจให้เลยหกเดือน เพื่อจะได้ร่วมงานกับเขา
ขนาดนั้นเลยเหรอ!
รายได้ผมตกชัวร์ แต่ -
เพื่อ Porter Robinson กับ Madeon
ผมบอกเลย ผมยอมนอนกับ Porter Robinson เพื่อจะให้ได้ร่วมงานกับเขา โอเคคุณเป็นพยานนะ อัดเสียงไว้ด้วย “Porter Robinson ฟังนะ ผมยอมนอนกับคุณเพื่อให้ได้ร่วมงานกับคุณ”
ฉันบอกเขาแน่ถ้ามีโอกาส โอเคเปลี่ยนเรื่องนิดหนึ่ง คุณคิดว่าวงการ Trance ในเอเชียนั้นแตกต่างกับที่อังกฤษไหม มันทำให้คุณต้องเตรียมตัวคนละแบบไหม
ผมคิดว่า หากพูดถึง Traditional Trance แล้ว มันแตกต่างอย่างแน่นอน ในอังกฤษและยุโรปมันมีความเร็วกว่าเยอะ ในเอเชียเขาจะชอบเพลงที่คลาสสิกมากกว่าอะไรที่ใหม่ๆ สำหรับผมเวลาผมเตรียมเซ็ทดีเจ ผมทำมันให้เข้ากับตลาดที่อยู่ต่อหน้าผม ถ้าผมเล่นในเอเชีย ผมจะเริ่มช้าหน่อยกับ EDM และ Techno ประมาณ 128 BPM แล้วค่อยจบด้วย Hardcore แบบ 170 BPM ผมเล่นในสิ่งที่พวกเขาอยากฟัง ผมไม่เห็นแก่ตัว ผมคงไม่ไปเปิดเพลงตามใจให้คนฟังหรอกครับ
หรือก็คือ คุณเลือกที่จะทำให้คนดูแฮปปี้มากกว่า
ใช่เลย! นี่คือเหตุผลว่าทำไมผมมีงานที่ต้องไปแสดงเยอะ ไนท์คลับรักผมเพราะผมทำให้คนที่มาเที่ยวมีความสุข มันก็คงไม่ต่างกันมากหรอกครับ Belfast กับ Glasgow เป็นตลาดที่ใหญ่ เช่นเดียวกับในประเทศอังกฤษด้วย แต่เดี๋ยวนี้ มาเลเชีย, สิงค์โปร์, อินโดนีเชีย ต่างก็ตามมาติด ๆ ผมขายบัตรเกือบหมดทุกครั้งที่ผมไปเล่น เอาจริง ๆ แล้วตอนนี้ผมรู้สึกว่ามันก็ไม่ได้ต่างนะครับสำหรับผม มันเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ และผมก็ดีใจสุด ๆ ไปเลย
คุณคิดยังไงกับการทำอัลบั้ม?
อัลบั้มนั้นดีสำหรับพวกวงดนตรีหรือดีเจอย่าง Calvin Harris ที่มีเวลาเยอะมาก อย่าเข้าใจผิดนะครับ ผมชื่นชมงานของพวกเขา แต่สำหรับผม สมัยนี้ทุกคนต่างลืมเพลงได้เร็วมาก โดยเฉพาะแนวเพลงของผม ผมคิดว่าแทนที่จะมานั่งทำอัลบั้ม ผมเอาเวลาไปออกทัวร์หรือไม่ก็ปล่อยซิงเกิลเจ๋ง ๆ ออกมาสักสิบซิงเกิลดีกว่า บางคนอาจจะชอบอัลบั้มมากกว่า แต่ไม่ใช่ผม
ปี 2018 มีอะไรน่าตื่นเต้นสำหรับคุณไหม?
ผมกำลังจะทำค่ายเพลงเป็นของตัวเอง แบรนด์ “Headfuck” ของผมกำลังจะมีค่ายเพลงเป็นของตัวเองคิดดูสิ คุณนี่เป็นคนแรกที่รู้ข่าวเลยนะเนี่ย! ผมจะไม่จำกัดมัน มันจะไร้ขอบเขตและมีดนตรีทุกรูปแบบ
คุณเปิดรับพวกเพลงร็อกด้วยไหม?
แน่นอนอยู่แล้ว ผมเอาหมดเลย มันกำลังจะเปิดตัวในอีกไม่นานนะครับ เตรียมชมได้เลยแทร็คแรกของผมที่ชื่อว่า Hot Plate กำลังจะออกมาเช่นกัน และผมต้องต่อยอดกับมันไปอีกเรื่อยๆ แน่นอน ผมอยากจะทำ label tour ของ “Headfuck” และ เปิดโอกาสให้กับศิลปิน ให้เราสร้างพวกเขาจนเติบโตขึ้นและคอยสนับสนุนพวกเขาตลอด
สุดท้ายแล้ว! อะไรคือคำขวัญประจำใจของคุณ?
จงเป็นตัวของตัวเอง อย่าได้เปลี่ยนตัวเองเพื่อใครทั้งนั้น