Markus Schulz พูดถึงเบื้องหลัง “The Nine Skies”, โปรดิวเซอร์หน้าใหม่ และ Transmission Asia
Markus Schulz ดีเจและโปรดิวเซอร์ชาวเยอรมัน-อเมริกัน ที่เริ่มเข้าวงการดนตรี EDM ตั้งแต่ช่วงปลายยุค 1990 จนในวันนี้ เขาได้กลายเป็นหนึ่งในเจ้าพ่อของวงการ Trance ไปเป็นที่เรียบร้อย เขาได้ปล่อยออกมาแล้วทั้งหมด 9 อัลบั้ม รวมไปถึง “The Nine Skies” ภายใต้ชื่อ Dakota โดยค่ายเพลง Coldharbour Records ของเขาเอง นอกจากนี้ เขายังเป็นหัวหอกของรายการวิทยุรายสัปดาห์อย่าง Global DJ Broadcast และบริหารบริษัท Schultz Music Group (SMG) อีกด้วย เวทีระดับโลกมากมายได้สัมผัสกับความยิ่งใหญ่ของเขาไปแล้ว และในปีนี้เขายังมีคิวไปปรากฎตัวบนเวทีอย่าง EDC Las Vegas, Airbeat One และ Tomorrowland อีกด้วย
เราได้มีโอกาสพูดคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวก่อนการแสดงบนเวที Transmission Asia ในปีนี้ มาดูกันว่า อะไรคือแรงบันดาลใจในการทำอัลบั้ม “The Nine Skies” และคำแนะนำดีๆ อะไรมาแบ่งปันให้เหล่าดีเจและโปรดิวเชอร์หน้าใหม่กันบ้าง
จากการที่คุณอยู่ในวงการดนตรีมามากกว่า 30 ปี ทั้งในฐานะดีเจและโปรดิวเซอร์ คุณน่าจะไปสัมผัสกับพัฒนาการของดนตรีแดนซ์มาโดยตลอด อะไรคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปมากที่สุดหากพูดถึงด้านของดนตรี
วงการดนตรีทุกวันนี้ต่างกับช่วงยุคนั้นโดยสิ้นเชิง พัฒนาการของเทคโนโลยีและอินเตอร์เน็ต รวมไปถึงการที่มีการใช้โซเชียลมีเดียมากขึ้นนั้น ต่างส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เมื่อก่อนตอนคิดอยากจะทำโปรดักชั่นอะไร ต้องลงทุนชื้ออุปกรณ์แพงๆและเช่าพื้นที่สตูดิโอเอง หลังจากนั้นก็ต้องผลิตแผ่น vinyl มากว่า 100 ชิ้น เพื่อที่จะส่งต่อให้กับดีเจดังๆ โดยเราได้แต่หวังว่าพวกเขาจะให้ความสนใจกลับมา
ทุกวันนี้ ใครๆ ก็สามารถเรียนรู้เกี่ยวกับตัวซอฟท์แวร์และผลิตแทร็คออกมาภายในไม่กี่ชั่วโมง อีกทั้งยังสามารถส่งไปให้ดีเจเป็นร้อยคนทั่วทั้งโลกเอาไปใช้งานได้ทันที มันค่อนข้างน่ามหัศจรรย์นะครับถ้าลองคิดดูดีๆ
ด้วยความเป็นดีเจ ผมต้องบอกตรงๆ ว่าผมคิดถึง vinyl นะครับ เพราะมันเป็นความผูกพันและความคุ้นเคยที่เราได้ถืออะไรเป็นชิ้นเป็นอันในมือ แต่เนื้องจากที่ผมมักจะต้องแก้ไขและเปลี่ยนแปลงแทร็คของผมให้เข้ากับเซ็ทให้ดีที่สุดอยู่ตลอด การที่สามารถทำทุกอย่างบนซอฟท์แวร์ได้ ทำให้การนำเสนองานเพลงของผมนั้นโดนใจมากขึ้นไปอีกหลายขั้น หากเป็น vinyl นอกจากจะมีนํ้าหนักค่อนข้างมาก ยังสามารถหายได้อีกด้วย แต่ถ้าเป็นงาน afterparty ชิลๆ ที่ไม่ต้องกดดันอะไร ผมสามารถเล่นกับ vinyl ได้ถึงเช้าเลยทีเดียว
แน่นอนว่ายอดขายนั้นไม่ได้ดีแบบเมื่อก่อน และทุกวันนี้ต้องยอมรับว่ามันยากที่จะอยู่กับรายได้จากการขายงานเพลงอย่างเดียว แนวคิดตอนนี้คือการปล่อยอัลบั้มออกมาให้เป็นการอัพเดทผลงานของตัวเอง เพราะเดี๋ยวนี้รายได้หลักจริงๆ ล้วนแล้วมาจากการออกทัวร์เดินสายแสดงตามงานเป็นส่วนมากไปแล้ว
เมื่อเทียบกับผลงานชิ้นอื่นของคุณที่จะออกแนวดาร์คๆ แล้ว บทเพลงจาก Dakota จะมีอารมณ์ที่ออกไปเชิงบวกมากกว่า ช่วยแบ่งปันขั้นตอนเบื้องหลังการทำ “The Nine Skies” และได้รับแรงบันดาลใจจากไหนบ้าง
โปรเจคนี้เป็นหนึ่งในโปรเจคที่ผมใส่จิตวิญญาณเข้าไปมากที่สุดในทั้งอาชีพการเป็นดีเจเลยก็ว่าได้
ตอนที่ “The Nine Skies” กำลังอยู่ในขั้นตอนการทำยังไม่ถึงปี ผมกำลังออกทัวร์สำหรับอัลบั้ม “Watch the World” อยู่ในตอนนั้น ผมจำได้ว่าในช่วงนั้นกำลังมีโศกนาฏกรรมเกิดขึ้นมากมายทั่วโลก และผมรู้สึกได้ว่าทุกคนกำลังรู้สึกหวาดกลัวกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเรื่องการเมืองหรืออะไร ตอนที่เกิดเหตุยิงกราดขึ้นที่ Pulse Nightclub ในเมือง Orlando ใจผมหายไปเลย เพราะเป็นที่ๆ เราทุกคนต่างคุ้นเคยและอาจจะไปอยู่ในเหตุการเองก็เป็นได้ เมืองนั้นถือว่าเป็นบ้านอีกหลังหนึ่งของผมเลยก็ว่าได้
ถึงจุดนั้นผมก็กลายเป็นคนดาร์คไปเลย ทั้งเป็นการส่วนตัวและบนโซเชียลมีเดีย ผมทิ้งให้เป็นหน้าที่ของทีมงานในการประกาศข่าวเรื่องการแสดงและเรื่องเพลงใหม่ๆ ของผม เพราะส่วนตัวผมคิดว่า ผมจะมาคิดถึงเรื่องการปาร์ตี้และบรรยากาศอันสนุกสนานอยู่เรื่อยๆ ได้ยังไง ในเมื่อโลกเรากำลังพบกับเรื่องไม่ดีอยู่ทุกวัน
ผมอ่านหนังสือและทำการศึกษาไปมากในช่วงที่ผมพักผ่อน โดยเฉพาะเรื่องราวเกี่ยวกับพลัง Reiki ที่เป็นวิธีการรักษาแบบโบราณที่จัดการกับพลังงานที่ไหลวนอยู่ในร่างกาย ผมไปเจอกับเรื่องราวของคนคนหนึ่ง ที่พบว่าตัวเองเป็นวิญญาณที่หลงทาง แต่ก็ค่อยๆ ค้นหาและพบกับสิ่งที่สามารถเติมเต็มตัวเองได้ จนสามารถหาทางสว่างได้ ผมก็เอาเรื่องนี้มาปรับใช้กับชีวิตของผมเองและหวังว่าจะสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นๆ ได้เช่นกัน
มีบทเพลงถึง 18 เพลงในอัลบั้ม “The Nine Skies” คุณชอบอันไหนมากที่สุดและทำไม
เป็นเรื่องที่ยากมากเลยครับ เพราะแต่ละบทเพลงนั้นล้วนแล้วแต่มีส่วนสำคัญในการบอกเล่าเรื่องราวของอัลบั้มนี้
“Mota-Mota” นั้นเปิดตัวอัลบั้ม “The Nine Skies” ได้อย่างยิ่งใหญ่มากเมื่อปีที่ผ่านมา ตอนแรกผมกะจะให้อัลบั้มในนาม Dakota รอบนี้มีความเป็น Techno หนักๆ เลย แต่พอได้ศึกษาเกี่ยวกับหนทางสู่แสงสว่างในชีวิตแล้ว ผมเลยอยากให้มันเริ่มออกมาดาร์คๆ หน่อยกับเพลงอย่าง “Mota-Mota” แล้วค่อยไปจบกับเพลงที่ทำให้มีพลังใจอย่าง “The Ninth Sky”
ผมคิดว่าเพลง “Running Up That Hill” จะเป็นเพลงที่หลายๆ คนนับเป็นหนึ่งในเพลงระดับตำนานของผมเลยก็ว่าได้ แต่ถ้าหากถามว่าเพลงไหนกำลังได้รับความนิยมและประสบความสำเร็จสุดๆ ในเซ็ทของผม คงต้องยกให้เป็น “Edonismo” และ “Future Shock” เลย
ฟัง “Running Up That Hill” ด้านล่างนี้ได้เลย!
จำได้ว่าคุณได้วางแผนการทำโปรดักชั่นของ “The Nine Skies” ให้ออกมาเป็น Live Show ในตอนแรก อะไรคือแรงบันดาลใจและความคิดที่ทำให้สร้างงานออกมาเป็นแนวนั้น
นี่ถือว่าเป็นส่วนที่น่าสนใจเพราะเป็นครั้งแรกที่ผมทำการดีไซน์คอนเซ็ปต์ Audiovisual แบบสดเพราะปกติแล้วหลังจากการทำอัลบั้มก็คือการออกทัวร์ แต่ในครั้งนี้กลับเริ่มด้วยการออกแบบ Live Show ของ “The Nine Skies” แล้วค่อยไปทำอัลบั้มจากมัน คล้ายกับการทำ Soundtrack ครับ
สิ่งแรกคือทำความเข้าใจของขั้นตอนในการค้นหาทางสว่างของชีวิต ผมเลยทำ Mood Board ออกมา ทำการรวบรวมรูปภาพต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในแต่ละขั้นตอน แล้วค่อยเริ่มทำการแต่งเพลงขึ้นมา
คุณมีคำแนะนำอะไรดีๆ ให้แก่โปรดิวเซอร์หน้าใหม่ ที่กำลังพยายามค้นหาความเป็นตัวเองไหม แล้วเหล่าศิลปินสมัยนี้ได้รับการค้นพบได้ง่ายกว่าช่วงต้นยุคปี 2000 หรือเปล่า
ไม่นะครับ ถ้าจะอะไรคงต้องบอกว่ายากกว่าเดิมด้วยซํ้า เพราะว่าการที่คนสามารถเข้าถึง Production Software ได้ง่ายขึ้น ทำให้การแข่งขันนั้นดุเดือดขึ้นเช่นกัน
ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดเลยคือให้ทำตามที่ใจต้องการ แล้วพยายามทำให้มันออกมามีความเด่นชัดที่สุดและไม่เหมือนใคร เพราะถ้าคุณลองสังเกตดีๆ ในวงการดนตรี EDM นั้นคือการลอกเลียนแบบกันโดยสิ้นเชิง พอมีใครเจอซาวด์อะไรใหม่ๆ ที่ได้รับความสนใจมากๆ ก็มีคนเอาไปลอกเลียนแบบภายในไม่เกินหนึ่งอาทิตย์แน่นอน และอีกอย่างที่ผมต้องเตือนไว้ คือหากคุณทำอะไรที่คุณไม่ได้เชื่อหรือชื่นชอบจริงๆ คุณจะต้องจากวงการนี้ไปในเวลาไม่นานอย่างแน่นอน
เพราะฉะนั้นหากใครกำลังเริ่ม เริ่มจากการค้นหาใครหรืออะไรที่เป็นแรงบันดาลใจของคุณ แล้วเรียนรู้จากมัน ศึกษาเซ็ทของพวกเขาให้ละเอียดว่าทำขึ้นมายังไง เช่นเดียวกับโปรดักชั่นของพวกเขา ทางที่ดีที่สุดในการสร้างอะไรใหม่ๆ เป็นของตัวเองคือการเอาแรงบันดาลใจของดีเจในดวงใจแต่ละคนมาสร้างลูกผสมที่ไม่เหมือนใคร
มีอัพเดทอะไรเกี่ยวกับผลงาน all-vocal Trance EP ที่คุณกำลังทำอยู่ไหม
ใครที่ติดตามรายการ Global DJ Broadcast ของผม จะทราบว่าในปีที่แล้วผมได้เปิดตัว Four Seasons Series ไป โดยได้นำธีมสุดพิเศษจาก Sunrise Set, Afterdark และ Classics Showcase แล้วเติมคอนเซ็ปต์ใหม่สำหรับฤดูใบไม้ผลิที่ชื่อว่า In Bloom ซึ่งเป็นเซ็ทแบบ all-vocal
ตอนแรกของ In Bloom นั้นได้ออกอากาศไปเมื่อปีที่แล้วและประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะฉะนั้นมันจะกลับมาอีกครั้งบนรายการ Global DJ Broadcast ในวันที่ 19 เมษายน ของปีนี้
แต่ในปีนี้จะมีอะไรที่พิเศษกว่าที่เคย เพราะอย่างที่คุณบอก กำลังจะมี all-vocal Trance EP ปล่อยออกมา ตอนนี้ผมพูดอะไรมาไม่ได้ ถ้าอยากรู้ต้องมาติดตามพร้อมกันในรายการ Global DJ Broadcast ในวันที่ 19 เมษายน
การแสดงของคุณในฐานะดีเจประจำของ Transmission Festival นั้นได้รับเสียงตอบรับที่ยอดเยี่ยมเสมอมา ทั้งในชื่อ Markus Schulz และ Dakota หากพูดจากประสบการณ์ส่วนตัวของคุณ อะไรบ้างที่ทำให้เซ็ทในงาน Transmission ของคุณต่างจากในอีเว้นท์อื่น
ผมภูมิใจกับทุกคนในทีม United Events ที่ทำงานอย่างหนักเพื่อทำให้งานนี้กลายเป็นงานดนตรี Trance ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุโรป และกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วในออสเตรียและเอเชียเช่นกัน โดยในปีนี้จะจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ ผมโชคดีมากที่ได้เล่นในเกือบทุกงานเลย
สิ่งที่พิเศษที่สุดเกี่ยวกับ Transmission ที่ทำให้มันแตกต่างจากงานอื่นๆทั่วโลกคือมันมีเวทีเดียว แทนที่ทุกคนจะต้องกระจายกันออกไป มันทำให้ทุกคนอยู่ในที่เดียวกัน อีกทั้งยังมีโชว์แสงเลเซอร์และกราฟิก ที่ไม่มีใครเทียม แถมยังสามารถทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นเหมือนว่าทั้งดีเจในงาน ผู้จัดงาน และผู้ชม ล้วนแล้วแต่เป็นครอบครัวเดียวกันเลย คงเพราะหลายๆ คนนั้นอยู่กับเรามาตั้งแต่ต้นนั้นเอง
เวลาที่ได้เจอคนจากทั่วทุกมุมโลก ไม่ว่าจะจากอเมริกาหรือที่ไหน ทุกคนต่างถามผมเกี่ยวกับงาน Transmission และผมก็บอกเสมอว่าให้วางแผนทริปได้แล้วและไปเปิดประสบการณ์สักครั้งในชีวิต มันเป็นงานที่ยินดีต้อนรับทุกคน เช่นเดียวกับเมือง Prague และผู้คนที่อยู่ที่นั่น
ไปชมวิดีโอทีเซอร์งาน “The Spirit of the Warrior” ของ Markus Schulz ในนามของ Dakota กันเลย!
การแสดงที่กำลังจะถึงของคุณในงาน Transmission Asia ที่กรุงเทพ คุณตื่นเต้นกับอะไรมากที่สุด
ผมตื่นเต้นมากที่จะได้กลับไปแสดงบนเวที Transmission อีกครั้ง ผมรู้สึกว่ามันเป็นหนึ่งในงานที่สำคัญมากสำหรับวงการนี้ในเอเชีย และโดยเฉพาะในประเทศไทย หากมันสามารถกลายเป็นงานอีเว้นท์ประจำปีได้ มันจะสามารถยกระดับดนตรี Trance ในโซนนี้ของโลกไปอีกหลายระดับ ผมยินดีมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมัน และขอเชิญชวนสาย Trance ทุกคนให้มารวมสนุกไปด้วยกันที่เมืองกรุงเทพฯ ในวันที่ 17 มีนาคมนี้นะครับ
ติดตามข้อมูลข่าวสารล่าสุดของ Markus Schulz ได้ผ่านทางโซเชียลมีเดียของเขาได้เลย!