บทสัมภาษณ์พิเศษ Laidback Luke
Laidback Luke ดีเจและโปรดิวเซอร์สัญชาติฟิลิปปินส์-ดัชท์ ได้ก้าวเข้าสู่การจัดอันดับดีเจของ DJ Mag Top 100 เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2008 โดยมีชื่ออยู่ใน 50 อันดับแรกและยังคงรักษาอันดับไว้ได้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาถึง 7 ปีเต็ม เขาได้กลายเป็นที่รู้จักในวงการดนตรีด้วยการเล่นแนว Dutch House Music และ Dance Music อีกทั้งเขาเองยังได้มีส่วนร่วมในการมิกซ์ผลงานเพลงร่วมกับศิลปินดังๆ มากมาย อาทิเช่น Daft Punk, Green Velvet, Depeche Mode, Robin Thicke หรือแม้กระทั่งร่วมงานกับตัวแม่ของวงการอย่าง Madonna และ Mariah Carey อีกด้วย
สยามทูไนท์มีบทสัมภาษณ์สุดพิเศษกับ Laidback Luke มาฝากบรรดาแฟนคลับชาวไทย ก่อนที่เขาจะมาทำการแสดงในงาน Road To Ultra Thailand 2015 ซึ่งจะจัดขึ้นที่ไบเทคบางนา ในวันที่ 12 มิถุนายนที่กำลังจะถึงนี้
ตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมาของการทำงานในวงการดนตรี คุณประสบความสำเร็จอย่างมาก ทั้งการได้รับโหวตเป็น “โปรดิวเซอร์หน้าใหม่” จาก Muzik Magazine UK ในปี 1997, การก้าวเข้าสู่ Top 50 ของ นิตยสาร DJ Mag ครั้งแรกในปี 2008 จากช่วงเวลาเหล่านั้น ถ้าให้คุณเลือกช่วงที่ดีที่สุด, แย่ที่สุด และเหตุการณ์ที่ตลกที่สุด คุณจะนึกถึงเหตุการณ์อะไรบ้าง?
อืม คำถามยากมาก(หัวเราะ) มันค่อนข้างยากที่จะเลือกว่าเหตุการณ์ไหน เพราะผมรักทุกวินาทีของการทำงานในวงการนี้ แต่ถ้าให้เลือกจริงๆก็น่าจะเป็นการทำงานร่วมกับ Carl Cox และ Deep Dish ในปี 1996 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่สร้างชื่อให้กับผม, ร่วมงานกับ Daft Punk ในปี 1999, ตอนที่มิกซ์ “We Can Not Get Enough” ติดอันดับใน Dutch National Charts ในปี 2003, ร่วมงานโปรดิวซ์กับ Swedish House Mafia ในปี 2005 นั่นก็ 10 ปีกว่าแล้ว! (หัวเราะ) ส่วนช่วงที่แย่ที่สุดน่าจะเป็นตอนที่ผมเล่นที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ ครั้งนั้นมีคนดูแค่ 2 คนแล้วเค้าก็น่าจะไม่ชอบเพลงแนวอิเล็คโทรนิคด้วย (หัวเราะ) ส่วนช่วงที่ดี มันมีมากจริงๆ ผมคงเลือกไม่ได้ แต่น่าจะเป็นช่วงที่ผมได้ไปเล่นตามงานเฟสติวัลใหญ่ๆทั่วโลกครับ
คุณได้รับการยอมรับว่าเป็นดีเจที่มีฝีมือในการใช้เทคนิคและมีชื่อเสียงอย่างมากจากการที่คุณไม่เคยเล่นเซ็ทเดิมซ้ำเลย แม้กระทั่ง Deadmau5 ที่โด่งดังจากจุดนี้ก็ยังยอมรับว่าคุณเป็นคู่แข่งลำดับต้นๆ เลยทีเดียว คุณได้เริ่มต้นเข้าสู่วงการดีเจและดนตรีได้อย่างไร?
ผมเริ่มงานดีเจอย่างจริงจังประมาณ 4 ปีหลังจากที่ผมทำงานโปรดิวซ์ ผมเริ่มจากการที่ไม่รู้อะไรเลย ลองผิดลองถูกมาตลอด ส่วนหนึ่งเพราะเวลาผมทำอะไรก็มักจะทำอย่างเต็มที่ 100 % ผมเลยพยายามเรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับการเป็นดีเจให้มากที่สุด ตัวผมเองมาจากครอบครัวนักดนตรี ผมจึงโตมากับการเล่นเปียโนและกีตาร์ พอวันนึงที่ผมได้ลองทำงานดนตรีอย่างจริงจัง ผมก็รู้เลยว่านี่เป็นสิ่งที่ผมอยากจะทำไปตลอดชีวิต
ผลงานของคุณเป็นแนวเพลงสไตล์ Electro & Progressive House ผลงานดังๆของคุณ อาทิเช่น 'Turbulence', 'Show Me Love', 'Leave the World Behind' and 'Natural Disaster’ มีเพลงใดที่คุณอยากจะแนะนำให้กับคนที่ยังไม่ค่อยรู้จักผลงานของคุณบ้าง?
อืม น่าจะเป็นเพลง ‘We’re Forever’ ที่ผมได้ร่วมงานกับ Marc Benjamin เมื่อปีที่แล้ว ผมรู้สึกว่ามันเป็นผลงานที่ดีที่สุดของผมเลยด้วยซ้ำ แล้วก็มีอีกเพลงชื่อ ’S.A.X’ ผลงานที่ผมร่วมมือกับ Tujamo และผลงานล่าสุด ‘Outer Space’ Feat. Kriss Kriss ก็เพิ่งเปิดตัวไปใน Spotify ยังไงก็ฝากติดตามผลงานในอนาคตของผมได้ที่ soundcloud.com/LaidbackLuke ด้วยครับ
คุณให้คำจำกัดความผลงานล่าสุดของคุณว่าเป็นแนว “Future House” โดยให้คำอธิบายว่าเป็นการนำสไตล์ Deep House มาผสมผสานกับ EDM ผลงานเพลงใดของคุณที่คุณคิดว่าจะสื่อความเป็น “Future House” ได้ดีที่สุด?
โอเค! ลองฟัง ‘Bae’ feat. Gina Turner, ‘Stepping to the beat’ และกำลังจะมีเพลงใหม่เร็วๆนี้ที่ผมร่วมงานกับ Chocolate Puma ในเพลง ‘Snap That Neck’
ตอนนี้คุณกำลังทำผลงานอะไรอยู่บ้าง?
ตอนนี้ผมกำลังวุ่นอยู่กับการทำผลงานเบื้องหลังกับแนวเพลงสไตล์ Jersey Club โดยผมมองว่า ในปี 2015 นี้จะเป็นปีที่น่าสนใจสำหรับแนวเพลงสไตล์ Jersey Club และ Jungle Terror ใน 30 วัน ผมทำเพลงแนวนี้ออกมาถึง 30 เพลง! เราน่าจะได้ยินข่าวดีใหม่ๆเร็วๆนี้นะ
บรรดาศิลปินในวงการดนตรี โดยเฉพาะบรรดาดีเจสมัยใหม่ มักจะมีไลฟ์สไตล์ที่ค่อนข้างเว่อร์และหรูหรา แต่คุณกลับเลือกที่จะทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดี คุณเองมีลูก 3 คน, ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ แถมยังเคยเข้าแข่งขันกังฟูระดับประเทศอีกด้วย! สำหรับคุณมันยากมั้ย ที่จะใช้ชีวิตโดยแยกเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวออกจากกัน?
ผมพยายามทำตัวให้สมถะที่สุด ผมเป็นนักกีฬาและใช้ชีวิตแบบดูแลสุขภาพ เมื่อก่อนผมเองก็เคยปาร์ตี้หนักๆ ดื่มแอลกอฮอล์ แต่ผมบอกได้เลยว่า ผมไม่เคยชอบมันเลย (หัวเราะ) อีกอย่างหน้าที่ของการเป็นพ่อคนก็ช่วยผมได้เยอะ ไม่ให้นอกลู่นอกทางครับ
คุณเคยมาแสดงในประเทศไทยหลายต่อหลายครั้ง เช่นที่ 808, LED, Levels ในกรุงเทพฯ และ LimaLima ในพัทยา ในวันที่ 12 มิถุนายนที่จะถึงนี้ คุณจะมาแสดงที่งาน Road To Ultra Thailand 2015 ร่วมกับ Alesso, Knife Party, Advanture Club, Galantis, Nervo และ Quintino คุณมีอะไรจะฝากถึงแฟนเพลงชาวไทยบ้าง?
อืม ผมยังจำได้แม่นตอนที่ผมได้เล่นในกรุงเทพ ผมเล่นเพลง Levels ของ AVICII ที่ Levels (หัวเราะ) ผมบอกกับแฟนๆเสมอว่าให้เตรียมตัวรอดูอะไรใหม่ๆ ที่ผมตั้งใจนำเสนอ มันจะไม่ซ้ำและจำเจแน่นอน ผมหวังว่า มันจะเป็นเซ็ทที่สนุกและหวังว่าทุกคนจะสนุกกันอย่างเต็มที่ แล้วเจอกันครับ