เที่ยวครบจบซอยใน 1 วันกับ #SundayWellSpent ซอยงามดูพลี!
ซีรีส์บทความ #SundayWellSpent กลับมาเป็นตัวช่วยให้ทุกคนรู้จักสถานที่ที่น่าสนใจตามตรอกซอกซอยในกรุงเทพฯ อันน่าไปเยือนและใช้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจในวันหยุดสุดสัปดาห์ที่จะกำลังใกล้เข้ามาอีกครั้ง
โดยคราวนี้เราจะพาทุกคนลงรถไฟใต้ดินสถานีลุมพินี แล้วเดินต่อมาประมาณ 600 เมตร เพื่อเข้าไปยังซอยงามดูพลี ในย่านสาทร ซึ่งแฝงกลิ่นอายของความเป็นชุมชนและวิถีเมืองผสมกันอย่างชัดเจน
ที่ซอยงามดูพลีแห่งนี้ เต็มไปด้วยร้านรวงที่น่าสนใจ เช่น คาเฟ่ ร้านอาหารนานาชาติ แกลเลอรี่ศิลปะ โรงเรียน ฯลฯ อีกทั้งยังสามารถเดินลัดเลาะไปยังซอยสวนพลู (ซอยสาทร 3), ซอยนางลิ้นจี่ และซอยเย็นอากาศ ที่มีร้านเจ๋งๆ แอบซ่อนอยู่มากมายได้โดยไม่หอบ
หลังจากที่เราได้ลองไปเดินสำรวจมาอย่างหนำใจ จึงอยากแนะนำ 6 สถานที่ที่ทุกคนสามารถชวนเพื่อนฝูงและครอบครัวไปใช้เวลาว่างสบายๆ ด้วยกันในวันอาทิตย์ หากต้องการทราบว่ามีสถานที่ใดบ้างนั้น ไปดูกันเลย!
Goethe-Institut Thailand
จากซอยงามดูพลี สามารถเดินลัดเลาะไปยังซอยเกอเธ่ ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของสถาบันเกอเธ่ สถาบันด้านวัฒนธรรมประเทศเยอรมนีในประเทศเทศไทยได้
ความน่าสนใจคือ ที่แห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงโรงเรียนสอนภาษาเยอรมันเท่านั้น แต่จัดกิจกรรมหลากหลายประเภทหมุนเวียนไปเรื่อยๆ ให้คนนอกที่ต้องการสัมผัสวัฒนธรรมสามารถเข้าร่วมได้
โดยแบ่งเป็นสาขาภาพยนตร์ ดนตรี ศิลปะ ละครเวที และวิชาการ เช่น จัดนิทรรศการภาพถ่ายชาวเขาโดยศิลปินชาวเยอรมัน
เทศกาลภาพยนตร์ภาษาเยอรมันกลางแจ้ง หรือ Open Air Kino 2019 ที่จะฉายหนังเยอรมันที่น่าสนใจพร้อมคำบรรยายภาษาไทยและอังกฤษ บริเวณสนามหญ้าหน้าอาคารของสถาบัน (ทุกวันอังคาร จนถึงวันที่ 3 มีนาคม 2562)
และยังมีเวิร์กช็อปสอนทำอาหาร คอนเสิร์ตเปียโน กิจกรรมให้ข้อมูล และอีกมากมายที่นอกจากจะสร้างความบันเทิงให้เราได้แล้ว ยังให้ความรู้ความเข้าใจด้านวัฒนธรรมของเยอรมนีอีกด้วย
ด้านในสถาบันมีพื้นที่ส่วนกลางที่สามารถใช้งานได้ เช่น สระว่ายน้ำ ฟิตเนส คลาสโยคะ โรงอาหาร ศูนย์แนะแนวศึกษาต่อ และห้องสมุด ที่มีหนังสือทุกประเภท ทั้งนิตยสาร วรรณกรรม ตำรา หนังสือเด็ก ฯลฯ สื่อเพื่อการเรียนการสอน เช่น ซีดี-ดีวีดีภาพยนตร์ แท็บเล็ต และเกมเพลย์ให้เล่นโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
ซึ่งพื้นที่กว้างขวาง บรรยากาศอันร่มรื่น และกิจกรรมเหล่านี้ สามารถทำให้วันอาทิตย์อันเรียบง่ายของเรามีสีสันขึ้นได้หากมีโอกาสมาใช้เวลาที่เกอเธ่แห่งนี้
Ratsstube German Restaurant Bangkok
ด้านในสถาบันเกอเธ่ มีร้านอาหารเยอรมันดั้งเดิมตั้งอยู่อย่าง Ratsstube (รัสตูเบ้) ซึ่งก่อตั้งเมื่อปีพ.ศ. 2528 หรือประมาณ 33 ปีมาแล้ว
โดยการออกแบบตกแต่งร้านให้กลิ่นอายแบบไทยๆ แฝงสไตล์โคโลเนียลในโทนสีน้ำตาล-เหลือง และใช้ไม้เป็นวัสดุหลัก จึงให้ความรู้สึกโฮมมี่และอบอุ่น
แถมน่ารักยิ่งขึ้นด้วยการแต่งกายของพนักงานหญิงภายในร้านที่สวมใส่ชุดประจำชาติเยอรมันที่เรียกว่าเดรียนเดล (Dirndl) พร้อมให้บริการอย่างเต็มที่
ส่วนเมนูอาหารเป็นตำรับเยอรมันสูตรโฮมเมดเช่น ซุป ไส้กรอก สลัด สปาเก็ตตี้ สเต็ก พิซซ่า หมูอบ และอีกมากมาย เติมเต็มรสชาติด้วยเบียร์เยอรมันนำเข้าหลากชนิด หรือหากใครไม่คุ้นชินกับอาหารเยอรมันก็มีอาหารไทยหลากเมนูให้เลือกทานเช่นกัน
ก่อนอาหารจานหลักมาเสิร์ฟ จะได้ทานขนมปังอบร้อนและเนยเรียกน้ำย่อย ตามด้วย Veal Sausage with Onion Sauce (300 บาท) หรือไส้กรอกลูกวัวอ่อนราดซอสหัวหอมที่เสิร์ฟคู่มันบด และผักอบนานาชนิด
เมื่อหั่นไส้กรอกพอดีคำ ราดด้วยซอสมัสตาร์ดที่ใส่ถ้วยวางไว้บนโต๊ะ ความนุ่มหอมของไส้หรอกและรสเปรี้ยวเผ็ดเล็กๆ ของมัสตาร์ด ก็เข้ากันเป็นอย่างดี
Bangkok CityCity Gallery
เดินต่อมาเพียง 200 เมตร จะพบกับตึกที่มีลักษณะคล้ายกล่องสีขาวโพลนสองใบวางต่อกัน ตัดด้วยร่มเงาสีดำพาดจากต้นไม้สีเขียวชอุ่มอยู่ริมถนน
และสถานที่แห่งนั้นเอง คือแกลเลอรี่ศิลปะร่วมสมัย Bangkok CityCity Gallery ที่เปิดกว้างให้ศิลปินสามารถมาจัดนิทรรศการได้ทุกรูปแบบ ทั้งศิลปะจัดวาง (Installation art) ภาพประกอบ (Illustration) ภาพวาด (Painting) ประติมากรรม (Sculpture) ภาพถ่าย (Photography) วิดีโอ และศิลปะแสดงสด (Live Performance)
แต่ไม่ได้มีเพียงนิทรรศการศิลปะเท่านั้น ยังมีกิจกรรมอื่นๆ ที่น่าเข้าร่วมอีกหลายงาน เช่น Bangkok Art Book Fair หรือเสวนาศิลปะ โดยภายใน 1 ปี จะมีนิทรรศการหมุนเวียนประมาณ 4-5 ครั้ง
บริเวณแกลเลอรี่แบ่งเป็น 2 โซนหลัก ได้แก่ เมนแกลเลอรี่ซึ่งเป็นห้องอเนกประสงค์ ใช้จัดนิทรรศการหลัก และฟรอนต์แกลเลอรี่ ห้องนิทรรศการขนาดเล็กที่สามารถใช้ทำกิจกรรมอื่นๆ ควบคู่กับการแสดงผลงานได้
นอกจากนี้ยังมีสวนเอาต์ดอร์เล็กๆ ด้านข้างที่สามารถจัดงานกลางแจ้งได้
หากต้องการไปชมงานศิลปะ ก็สามารถเตรียมพบกับนิทรรศการแสดงเดี่ยวโดย นาวิน ลาวัลย์ชัยกุล ในชื่อ ‘กลับไป จากมา’ ซึ่งเปิดให้เข้าชมในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2562 เป็นต้นไป
(ขณะที่กำลังเขียนบทความชิ้นนี้ ทางแกลเลอรี่แจ้งปิดเป็นการชั่วคราวเพื่อติดตั้งงาน)
La Casa Nostra
ห่างจากแกลเลอรี่ศิลปะเพียง 130 เมตร เป็นที่ตั้งของไวน์บาร์และร้านอาหารอิตาเลียนอย่าง La Casa Nostra บริเวณร้านตกแต่งในสไตล์โฮมมี่รัสติก ที่แฝงความวินเทจเล็กน้อย
ที่นี่แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ Cellar ห้องเก็บไวน์หลากชนิดที่นำเข้าจากประเทศฝรั่งเศสและอิตาลีเป็นหลัก (แต่ก็มีไวน์จากอเมริกา ญี่ปุ่น อาร์เจนตินา แอฟริกาใต้ และออสเตรเลียเพื่อความหลากหลาย) โดยมีให้เลือกดื่มมากกว่า 500 ชนิด พร้อมซิการ์คิวบาร์วางจำหน่าย
อีกส่วนหนึ่งคือร้านอาหาร มีทั้งหมด 2 โซน คืออินดอร์และเอาต์ดอร์ ซึ่งบริเวณด้านนอกแต่งเป็นสวนเล็กๆ มีสนามเปตองหากลูกค้าต้องการดวลฝีมือในเกมกีฬาขณะดื่มไวน์และมีมื้ออาหารดีๆ
อาหารอิตาเลียนที่ร้านพร้อมเสิร์ฟเป็นมื้อกลางวันและดินเนอร์ เช่น พาสต้า ริซอตโต้ สเต็ก สลัด ซุป และให้เลือกสรรอีกมากมาย ที่ปรุงโดยเชฟจากซิซิลีโดยตรง นอกจากนี้มักจัดอีเวนต์เป็นระยะๆ เช่น ไวน์เทสติ้ง หรือไวน์ดินเนอร์
สวนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (สวนสาธารณะสวนพลู)
เมื่อเดินไปจนสุดซอยงามดูพลีแล้วเลี้ยวขวา จะเห็นสวนหย่อมแห่งหนึ่งชื่อ สวนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือสวนสาธารณะสวนพลู
พื้นที่สีเขียวแห่งนี้มีขนาดประมาณ 17 ไร่ ด้านในสวนประกอบไปด้วยสนามเด็กเล่นขนาดย่อม เครื่องออกกำลังกาย ตกแต่งด้วยผนังประติมากรรมเล็กๆ พาดสวนด้วยบ่อปลูกไม้น้ำ และต้นไม้ที่ปลูกขึ้นอย่างเป็นระเบียบ
เมื่อถึงเวลาเย็นๆ ผู้คนในละแวกใกล้เคียงจะออกมาเดินเล่น หรือวิ่งจ๊อกกิ้งกันอย่างพลุกพล่าน
ถึงแม้สวนสาธารณะแห่งนี้จะไม่ได้มีต้นไม้หนาแน่นให้เรานั่งใต้ร่มเงาเพื่อปิกนิกได้อย่างเย็นสบายเช่นสวนหย่อมอื่น แต่ที่แห่งนี้ก็เป็นพื้นที่สาธารณะใจกลางกรุงที่เราสามารถหลีกหนีความเร่งรีบของเมืองสักครู่ แล้วมาใช้เวลาที่นี่ได้ทันที
หากทำกิจกรรมหรือทานอาหารในวันอาทิตย์ที่ซอยสวนพลูเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ลองชวนครอบครัวหรือเพื่อนมาเดินเล่นพักผ่อนสักครู่ก็น่าสนใจไม่น้อย
Prumplum Umeshu Bar
จากซอยสวนพลู เดินลัดเลาะไปยังซอยศรีบำเพ็ญ จะพบกับบาร์สไตล์อิซากายะอย่าง Prumplum Umeshu Bar
ภายในร้านแบ่งออกเป็น 3 โซน ได้แก่ ด้านนอก บาร์และที่นั่งด้านใน และชั้นลอย มีการตกแต่งคล้ายห้องนั่งเล่นญี่ปุ่น เต็มไปด้วยโปสเตอร์ โคมไฟ และเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่ให้บรรยากาศค่อนข้างเป็นกันเอง
สิ่งที่ทำให้บาร์แห่งนี้ไม่เหมือนใคร คือเมนูเครื่องดื่มซึ่งเน้นไปที่เหล้าบ๊วย (อูเมะชู) เป็นหลัก แต่ก็มีเหล้าผลไม้ วิสกี้ และสาเกจากญี่ปุ่นเป็นตัวเลือกให้ผู้ที่อยากลองดื่มเครื่องดื่มชนิดอื่น
สำหรับเมนูอาหารเป็นกับแกล้มและทานเล่นตามสไตล์อิซากายะ แต่ก็มีจานหลักให้ทานอิ่มท้อง เช่น ยากิโทริ คาราเกะ สลัด ยากิโซบะ หมึกวาซาบิ ฯลฯ
ด้วยความที่ร้านค่อนข้างเป็นกันเอง หากลูกค้ามีข้อมูลที่อยากพูดคุยหรือเหล้าญี่ปุ่นที่อยากนำมาแบ่งปัน ก็สามารถทำได้
เราได้ลอง Umeshu Starter Set (360 บาท) ซึ่งเป็นชุดเครื่องดื่ม 3 ชนิด ที่นำเสนอได้ชัดเจนมากที่สุดว่าเหล้าบ๊วยคืออะไร มีประเภทหลักๆ อะไรบ้าง
โดยแก้วแรกคือ Komasa Ume อูเมะชูพื้นฐานที่มีรสชาติหวานเปรี้ยวอย่างที่เราคุ้นเคย แก้วที่สองคือ Hi Zou ใช้น้ำตาลทรายแดงเป็นส่วนผสม จึงมีรสคาราเมลติดปลายลิ้น ซึ่งทั้งสองตัวทำจากโชจู (คล้ายเหล้าขาว)
ส่วนแก้วสุดท้ายคือ Ume Mansaku ใช้สาเกในการหมัก ซึ่งมีความนุ่มและติดหวานเล็กน้อย ซึ่งเราเห็นด้วยว่าเซ็ตนี้เซ็ตเดียว ก็สามารถทำให้เรารู้จักอูเมะชูได้มากขึ้นจริง
ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ
สถานที่สุดท้ายนี้ไม่เปิดให้บริการในวันอาทิตย์ แต่เราคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับใครหลายคน
ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ โดยสสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) เป็นศูนย์การเรียนรู้และเสริมสร้างสุขภาวะ หมายถึงการมีสุขภาพดีใน 4 ด้าน ได้แก่ กาย จิตใจ สังคม และปัญญา
ศูนย์แห่งนี้เปิดให้บุคคลภายนอกใช้บริการได้ที่บริเวณชั้น 1-2 ไม่ว่าจะมาพักผ่อนหย่อนใจ ทำกิจกรรมในตึก หรือเข้ามาเรียนรู้เรื่องสุขภาพก็ได้ทั้งสิ้น
โดยมีห้องสมุดที่รวบรวมหนังสือเกี่ยวกับสุขภาพไว้มากมาย ห้องนิทรรศการที่สร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นให้เราเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อมีสุขภาวะที่ดี ภายในอาคารมีชิ้นงานศิลปะประเภทประติมากรรมจำนวน 10 ชิ้นที่เราสามารถไปชมได้
ที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือบริเวณชั้น 1 ของอาคารจะมีห้อง Health Checkup ที่สามารถเข้าไปตรวจมวลร่างกายและรับคำปรึกษาได้
ยังมี Sook Shop ร้านค้าแห่งความสุขที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ และ Sook Canteen โรงอาหารที่คัดเลือกแต่ร้านที่มีคุณภาพและใส่ใจในโภชนาการ
เมนูอาหารจะเน้นไปที่หลักการผักสองส่วน โปรตีน หนึ่งส่วน คาร์โบไฮเดรตหนึ่งส่วน สามารถเลือกได้ว่าอยากทานข้าวกล้อง หรือข้าวสวย ปริมาณข้าวมากน้อยขนาดไหน ฯลฯ
ร้านน้ำชื่นใจที่ขายชา-กาแฟอย่างร้านอื่นทั่วไป แต่มีข้อมูลทางโภชนาการบอกไว้เล็กน้อย สามารถเลือกได้ว่าต้องการนมถั่วเหลือหรือนมวัวในการชงเครื่องดื่ม
หากมีเวลาว่างสามารถลองมาที่ศูนย์สุขภาวะแห่งนี้ได้ ทุกคนอาจจะได้อะไรกลับบ้านไปมากกว่าความสุขจากการพักผ่อนหย่อนใจก็เป็นได้
ไปสำรวจร้านรวงน่าสนใจที่แฝงตัวอยู่ตามตรอกซอยต่างๆ ในกรุงเทพฯ กันต่อวันอาทิตย์หน้า ณ ย่านสุดโปรดของเราตามลิงก์บทความของ Siam2nite ด้านล่างนี้ได้เลย!
- #SundayWellSpent ซอยร่วมฤดี ย่านเพลินจิตมีอะไรให้ทำภายใน 1 วันบ้าง?
- #SundayWellSpent ชวนเพื่อนไปตระเวนหาอะไรทำที่ซอยสวัสดี (สุขุมวิท 31) ในวันอาทิตย์กันดีกว่า!
- #SundayWellSpent ซอยสวนพลู-สาทร ย่านที่มีอะไรมากกว่าตลาดสด คอนโด และโรงแรม!
- #SundayWellSpent โกยความสุข 12 ชั่วโมงในวันอาทิตย์ ณ ซอย สุขุมวิท 49
- ซอกแซกย่านญี่ปุ่น ตุนความสุข ณ ซอยสุขุมวิท 33 กับ #SundayWellSpent
- #SundayWellSpent เดินเล่นซอยนานา ย่านเยาวราช ตั้งแต่เช้าจรดค่ำกัน!
- #SundayWellSpent ย่านธุรกิจ ‘สาทร’ ซอย 10, 11 และ 12 มีอะไรให้ทำในวันอาทิตย์บ้าง?
- #SundayWellSpent ตะลอนย่านฮิปที่ซอยอารีย์
- #SundayWellSpent พักผ่อนร้านโน้น…นั่งชิลร้านนี้ ที่ซอยหลังสวน