#SundayWellSpent ชวนเพื่อนไปตระเวนหาอะไรทำที่ซอยสวัสดี (สุขุมวิท 31) ในวันอาทิตย์กันดีกว่า!
ใกล้ถึงวันอาทิตย์ที่เรารอคอยอีกครั้ง เพราะเรากำลังจะได้ใช้เวลาว่างวันสุดท้ายในช่วงสุดสัปดาห์ ทำกิจกรรมสบายๆ พักผ่อนกับคนใกล้ชิด และตักตวงกำลังกายและกำลังใจเตรียมพร้อมลุยสัปดาห์แห่งการเรียนหรือการทำงานที่กำลังจะมาถึงในวันรุ่งขึ้น
ในกรุงเทพฯ มีสถานที่ที่เหมาะกับการเดินเล่น สำรวจตามตรอกซอยซอยมากกว่าที่เราคิด ซีรีส์บทความ #SundayWellSpent ครั้งนี้จะพาทุกคนไปทำความรู้จักร้านรวงที่น่าสนใจในย่านพร้อมพงษ์ - อโศก ณ ซอยสวัสดี หรือสุขุมวิท 31 ซึ่งไม่ได้มีแต่ร้านอาหาร หรือคาเฟ่น่ารักๆ เท่านั้น แต่ยังมีที่สำหรับออกกำลังกาย เวิร์กช็อปศิลปะ ที่ช็อปปิ้งสำหรับหญิงและชาย รวมถึงค็อกเทลบาร์สุดเท่อีกด้วย
ตรียมตัวลงรถไฟฟ้าสถานีพร้อมพงษ์ หรือ อโศก แล้วเดินต่ออีกประมาณ 300 เมตร ก็จะถึงซอยที่สามารถมอบความสุขเล็กๆให้เราตั้งแต่เช้ายันค่ำวันอาทิตย์ได้เลย
The Lab
เมื่อเดินจากสถานีรถไฟฟ้าประมาณ 5 นาที บริเวณปากซอยสุขุมวิท 31 จะพบอาคารอาร์เอสยู ทาวเวอร์ (RSU Tower) ซึ่งบนชั้น 2 เป็นที่ตั้งของยิมและเทรนนิ่งสตูดิโออย่าง The Lab เมื่อเดินเข้าไปจะเจอกับอุปกรณ์ยกน้ำหนักหลายประเภท เช่น บาร์เบล ดัมเบล เคตเทิลเบล ลูกบอลน้ำหนัก แผ่นน้ำหนัก
รวมถึงม้านั่งปรับระดับ บาร์โหน และอื่นๆ อีกมากมาย โดยคลาสที่มีให้บริการ มีทั้งแบบกลุ่มและส่วนตัว คลาสสำหรับลดน้ำหนัก เพิ่มกล้ามเนื้อ ฯลฯ ราคาต่อคลาสเริ่มต้นที่ 450 บาท/ 30 นาที
สิ่งที่ทำให้ The Lab แตกต่างคือความพยายามที่จะสร้างความตระหนักให้กับคอมมูนิตี้ฟิตเนส ลดการใช้พลาสติกแบบใช้แล้วทิ้ง เช่น ขวดน้ำ และสนับสนุนให้ใช้ขวดน้ำพกพา พร้อมให้บริการตู้กดน้ำเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่นำขวดน้ำมาเอง ตามความตั้งใจหลักของ The Lab ที่ว่า #Train and Sustain นั่นเอง
Bangkok Golf Centre (BGC)
เมื่อขึ้นไปที่ชั้น 5 อาคาร RSU Tower จะพบสถาบันสอนกอล์ฟ และสนามกอล์ฟในร่มครบวงจร เราไม่ต้องยืนกลางแจ้ง หรือลุ้นฝนตกในแต่ละวัน แต่สามารถมาซ้อมเมื่อไหร่ก็ได้ตามสะดวก ผ่านเครื่องซิมูเลเตอร์ และเทคโนโลยีการบันทึกวงสวิง ไม่ว่าเด็ก หรือผู้ใหญ่ มีพื้นฐานการตีกอล์ฟหรือไม่ ก็สามารถมาเรียนรู้และฝึกซ้อมไปพร้อมกันได้ โดยโปรผู้ฝึกสอนทุกคนมีความชำนาญด้านกีฬากอล์ฟที่ได้รับการรับรองจาก PGA (Premier Golf Academy) ในประเทศต่างๆ ทั้งสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และไทย ความพิเศษคือ BGC มีโปรแกรมการวิเคราะห์วงสวิง หรือคลับฟิตติ้งที่ได้มาตรฐาน ช่วยปรับแต่งไม้กอล์ฟให้เหมาะกับสรีระและวงสวิงของแต่ละคนได้อย่างพอดี
คอร์สที่เปิดสอนมีแบบส่วนตัวและเป็นคู่ ราคาจะแตกต่างกันไปตามปริมาณชั่วโมงและครูผู้สอน โดยเริ่มต้นที่ 2,800 บาท/ชั่วโมง แต่หากต้องการมาเล่นหรือฝึกซ้อมเพียงอย่างเดียว สามารถเลือกใช้บริการเป็นรายชั่วโมง รายเดือน หรือรายปีได้ โดยมีค่าบริการชั่วโมงละ 800 บาท (หากสมัครสมาชิกแบบรายเดือนหรือรายปี จะมีราคาถูกลงอีก)
Sweet Pista Bangkok
โครงการ Green Connect ในซอยสวัสดี เป็นที่ตั้งของร้านอาหารกึ่งคาเฟ่สไตล์โฮมมี่ ที่ตกแต่งเรียบง่าย มีกลิ่นอายความอบอุ่นเล็กๆ โดยฉาบด้วยผนังปูนเปลือย และใช้ไม้เป็นองค์ประกอบหลัก ประดับด้วยจักรยานเท่ๆ จากความชอบของตัวเจ้าของร้านเอง เมนูอาหารและขนมเป็นสูตรโฮมเมดทั้งสิ้น มีให้เลือกทานทั้งข้าว (โดยเฉพาะข้าวหมา-ข้าวแมวที่ใครมาก็ต้องลอง) สปาเกตตี้ สลัด อาหารทานเล่น รวมถึงเบอร์เกอร์ต่างๆ เราได้ลิ้มลอง Avocado Beef Cheeseburger (290 บาท) เบอร์เกอร์เนื้อบด ที่เราสามารถเลือกระดับความสุกได้ตามใจ อัดแน่นด้วยชีส ซอสเห็ด และอโวคาโดเต็มคำ และขนมปังทำเอง เสิร์ฟคู่สลัดอโวคาโดในน้ำสลัดบัลซามิก นอกจากนี้ยังมีของหวาน เช่น เค้ก วาฟเฟิล หรือน้ำแข็งไสคากิโกริให้เลือกทานปิดท้ายมื้ออาหารอีกด้วย
Tiny Tree
เมื่อเดินข้ามถนนจากโครงการ Green Connect ไป จะพบกับร้านเล็กๆ ที่เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจการทำงานคราฟต์และสร้างสรรค์งานฝีมือจากต้นไม้อย่าง Tiny Tree เพราะมีชุดเพาะปลูกสำเร็จรูป อุปกรณ์ทำสวนขวด อย่างโมเดลจิ๋วสุดน่ารัก หินประดับ ดินปลูก ต้นมอสและเฟิร์น หากต้องการทำสวนขวดเป็นของขวัญมอบให้คนใกล้ชิด แต่ไม่มีพื้นฐานมาก่อน ก็สามารถปรึกษาคนดูแลและทำตามได้ไม่ยาก หรือถ้าไม่มีเวลามากพอที่จะทำขึ้นมาใหม่ ทางร้านก็มีสวนขวดที่ทำสำเร็จแล้วจำหน่าย ทุกสุดสัปดาห์มีเวิร์กช็อปเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับระบบนิเวศแบบปิดของสวนจิ๋ว ความเป็นมา และขั้นตอนการสร้างสรรค์ผลงาน โดยมีค่าเข้าร่วมคลาส 1,500-2,300 บาท ลองใช้เวลายามบ่ายวันอาทิตย์ทำกิจกรรมน่ารักๆ เช่นนี้ ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย
นอกจากสาขาซอยสวัสดีแล้ว สามารถซื้ออุปกรณ์ได้ที่ร้านตัวแทนจำหน่ายในห้างฯ เซ็นทรัลเวิลด์ สยามดิสคัฟเวอรี่ และเอ็มควอเทียร์ แต่ที่สาขาในซอยสุขุมวิท 31 แห่งนี้ เป็นกึ่งคาเฟ่ที่เราสามารถมานั่งพักผ่อน จิบชา-กาแฟ และทานขนมหวานหรือเมนูบรันช์กับเพื่อนๆ ได้อย่างเพลิดเพลิน
Appia
เดินเข้าซอยสวัสดีมาประมาณ 300 เมตร ด้านขวามือมีร้านอาหารโรมันสไตล์รัสติกชื่อ Appia ที่ออกแบบและตกแต่งร้านในบรรยากาศสบายๆ อย่างเป็นกันเอง เฟอร์นิเจอร์และโครงสร้างร้านส่วนใหญ่ทำจากไม้สีเข้มสุดเท่ เมนูอาหารของร้าน เหมาะสำหรับการมีมื้อเย็นดีๆ เช่น อิตาเลียนโคลด์คัทส์ พาสต้า เมดิเตอร์เรเนียนซีฟู้ด สเต็กเนื้อแกะ ฯลฯ แต่หนึ่งเมนูที่ไม่ว่าใครมาแล้วต้องลองคือ Porchetta (450/700 บาท) เนื้อหมูยัดไส้เครื่องเทศ นำไปอบจนเหลืองกรอบ แล้วหั่นสไลด์ เสิร์ฟพร้อมซอสแอปเปิ้ล ส่วนเครื่องดื่มเน้นไวน์ที่มีรสชาติเข้ากับอาหารประเภทต่างๆ มักเป็นไวน์จากแถบเมดิเตอร์เรเนียน เช่น อิตาลี ตอนใต้ของฝรั่งเศส และสเปน มีตัวเลือกทั้งไวน์ดั้งเดิม ไวน์ออร์แกนิก และไวน์ไบโอไดนามิก หากไม่ใช่แฟนตัวยงของไวน์ ก็มีเบียร์และค็อกเทลสไตล์อิตาเลียนที่สามารถจิบพลางรออาหารมาเสิร์ฟได้อีกหลายเมนู
Ruen Nuad Massage Studio (เรือนนวด)
เดินเพียง 10 นาที จากรถไฟฟ้าพร้อมพงษ์ ด้านขวามือจะเห็นทางเข้าบ้านไม้หลังเล็กอันร่มรื่น ที่มีพื้นที่กว้างขวาง เป็นที่ตั้งของร้านสปาและนวดอย่าง Ruen Nuad Massage Studio (เรือนนวด) ภายในร้านมีสวนหย่อมและบ่อน้ำเล็กๆ ที่สามารถนั่งพักสักครู่ ซึมซับความสดชื่นให้เต็มปอด ก่อนเริ่มต้นการทำสปาและนวดภายในบ้าน บริเวณชั้น 1 และ 2 บริการที่มี ณ เรือนนวดแห่งนี้ ได้แก่ นวดแผนไทย นวดเท้า นวดน้ำมันอโรมา นวดประคบ และสครับผิวกาย-เท้า โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 350 บาท/ชั่วโมง ซึ่งราคาไม่สูงเลยเมื่อเทียบกับบรรยากาศร้านสบายๆ และบริการที่ได้รับอย่างดี
เรือนนวดมีทั้งหมด 2 สาขา ได้แก่ที่ซอยสวัสดีแห่งนี้ และซอยสาทร 12 หากต้องการพักและฟื้นฟูร่างกายให้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์เพื่อเตรียมรับมือกับสัปดาห์ที่กำลังจะมาถึง ลองใช้ช่วงเวลายามบ่ายวันอาทิตย์สัก 1-2 ชั่วโมง ไปนวดหรือทำสปาดูสักครั้ง คุณจะสบายกายและสบายใจขึ้นอย่างแน่นอน
Rosemanclub
หัวมุมซอยสุขุมวิท 31 แยก 4 เป็นแฟล็กชิพสโตร์แบรนด์แว่นตาของสองดีไซน์เนอร์ชาวไทย ที่มีสไตล์เป็นของตัวเองอย่าง Rosemanclub การตกแต่งร้านค่อนข้างวินเทจ ด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้และของประดับร้านเล็กๆ ทำจากทองแดง แฝงกลิ่นอายของธรรมชาติเอาไว้ด้วยเหล่าต้นไม้หลากพันธุ์ทั่วบริเวณ สินค้าภายในร้านนอกจากคอลเลกชั่นแว่นตาที่มีให้เลือกช็อปหลากดีไซน์แล้ว ยังมีแฟชั่นไอเท็ม(ยูนิเซ็กส์) ของสะสม และของตกแต่งบ้านแบรนด์ไทยและต่างประเทศเช่น เครื่องประดับ โปสการ์ด กระเป๋า เนคไท ผ้าพันคอ เครื่องเขียน กล้องโบราณ ฯลฯ แม้กระทั่งหมอนที่วางประดับโซฟ้าหนังในร้าน ก็เป็นสินค้าสำหรับจำหน่าย เรียกได้ว่ามีของจุกจิกที่ไม่ซ้ำแบบใครอย่างนับไม่ถ้วน
ไม่ว่าจะมาช็อปปิ้งเล่นๆ หรือซื้อหาของขวัญมอบให้ใครสักคน ที่ร้านแห่งนี้มีตัวเลือกที่เหมาะสำหรับทั้งหญิงและชาย หลังจากหาอะไรทานและทำกิจกรรมต่างๆในซอยสวัสดีเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลองแวะเข้ามาดูสักครั้ง อาจได้อะไรติดไม้ติดมือกลับบ้านไปด้วยก็ได้
Harvest Restaurant
หลีกหนีจากความวุ่นวายของเมืองกรุง ไปทานมื้อเย็นดีๆ ในบรรยากาศบ้านสวนอันอบอุ่นในชนบทที่ฝรั่งเศส ณ Harvest ร้านที่เรียกได้ว่ารังสรรค์ทุกอย่างด้วยมือ ตั้งแต่การออกแบบและตกแต่งร้าน วัตถุดิบที่ใช้ ภาชนะต่างๆ เป็นงานคราฟต์และสั่งทำทั้งสิ้น เริ่มจากการตกแต่งร้านในสไตล์รัสติก ด้วยกำแพงอิฐ เฟอร์นิเจอร์ไม้ โคมไฟเพดานดิบๆ ที่ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งทานในบ้านของชาวไร่-ชาวสวน มีจำนวนสองชั้น อาหารที่ร้านเป็นรัสติกยูโรเปียนฟู้ด ที่เหมาะสำหรับการแบ่งทานกับกลุ่มเพื่อน วัตถุดิบใดที่สามารถทำขึ้นเองได้ ร้านก็เลือกที่จะทำแทนการซื้อสำเร็จรูป (แม้กระทั่งเกลือก็ต้มเอง!)
เราได้ลอง Conchiglioni Duck Ragu & Morel Mushrooms (480 บาท) พาสต้าเปลือกหอยในซอสเนื้อเป็ด ที่ตุ๋นข้ามคืนด้วยไวน์แดง มะเขือเทศ หอมหัวใหญ่ ฯลฯ ท็อปด้วยพาร์มิซานชีสและเห็ดมอเรลผัด จานนี้มีรสชาติหวานเล็กๆ ค่อนข้างกลมกล่อม ส่วน Pasta ai funghi (890 บาท) เป็นพาสต้าแผ่นแบน ที่นำเห็ดหลากชนิด ได้แก่เห็ดมอเรล เห็ดเครมินี เห็ดแชมปิญอง มาผัดและปรุงรสกับฟักทองน้ำเต้า พาร์มิซานชีส และบราวน์บัตเตอร์ที่นำไปอินฟิวส์ด้วยใบไทม์ ก่อนท็อปด้วยไข่แดงและเห็ดทรัฟเฟิล มีรสชาติออกเค็ม ไม่จัดจนเกินไป วัตถุดิบทุกอย่างในแต่ละจานมีคุณภาพ เหมาะสำหรับมื้อเย็นดีๆ กับครอบครัวหรือคนใกล้ชิดเป็นอย่างมาก
The Woodshed
เมื่อเดินเข้าไปด้านในสุดของร้าน Harvest จะพบที่ตั้งของร้านคราฟต์สปิริตและคราฟต์ค็อกเทลบาร์อย่าง The Woodshed ที่ตกแต่งในสไตล์รัสติก เป็นเหมือนโรงเก็บไม้เช่นเดียวกับชื่อร้าน ซึ่งคำว่า Woodshed ตามศัพท์แสลงหมายถึงการที่นักดนตรีมารวมตัวกันเพื่อฝึกซ้อมดนตรี เราจึงเห็นการแสดงดนตรีแจ๊สสดที่ร้านเป็นประจำทุกวันจันทร์ - เสาร์ (เวลา 21.00 - 23.45 น.) ความพิเศษคือแอลกอฮอลล์แต่ละชนิดที่เลือกใช้ มาจากผู้ผลิตรายย่อยทั่วโลก และบางชนิดก็ทำขึ้นเอง ซึ่งแต่ละตัวจะมีเรื่องราวที่น่าสนใจซ่อนอยู่ โดยนำเสนอด้วยการจัดวางเป็นกล่องหลังบาร์ เช่น กล่องนี้เป็นรัม ด้านบนเป็นวิสกี้จากญี่ปุ่น หรือซิงเกิลมอลต์
ส่วนค็อกเทลในร้านเรียกว่าคราฟต์ เพราะกระบวนการและขั้นตอนการชงแต่ละแก้วนั้นพิถีพิถันมาก ตั้งแต่การไสน้ำแข็งแต่ละก้อน ที่แตกต่างกันไปตามชนิดของแก้ว ไซรัปต่างๆ ที่ใช้เป็นส่วนผสมในเบสคราฟต์สปริริตก็ต้มเองแทบทั้งสิ้น เราได้ลอง Red (365 บาท) ซึ่งมีแรงบันดาลใจจากเทศกาลคริสต์มาส ทำจากสโลจิน (Sloe Gin) ที่มีสีแดง ผลเรดเคอร์แรนท์ ซึ่งเป็นผลไม้ฤดูหนาว ท็อปด้วยสปาร์กลิงไวน์และมะนาว รสชาติอมเปรี้ยว ดื่มง่ายและให้ความสดชื่น ส่วน The Smoke Lingers (450 บาท) ทำจากวิสกี้ที่มีกลิ่นอายของถ่าน ผสมกับเตกีล่า ซิงเกิลเอสเพรสโซ ไซรัปกาแกโฮมเมด และแต่งด้วยผลวอลนัตเผา มีรสชาติเข้ม ติดขมเล็กน้อย ที่โดดเด่นคือกลิ่นไหม้จางๆ ที่ทำให้เครื่องดื่มนี้น่าสนใจ
ไปสำรวจร้านรวงน่าสนใจที่แฝงตัวอยู่ตามตรอกซอยต่างๆ ในกรุงเทพฯ กันต่อวันอาทิตย์หน้า ณ ย่านสุดโปรดของเราตามลิงก์บทความของ Siam2nite ด้านล่างนี้ได้เลย!
- เที่ยวครบจบซอยใน 1 วันกับ #SundayWellSpent ซอยงามดูพลี!
- #SundayWellSpent ซอยร่วมฤดี ย่านเพลินจิตมีอะไรให้ทำภายใน 1 วันบ้าง?
- #SundayWellSpent ซอยสวนพลู-สาทร ย่านที่มีอะไรมากกว่าตลาดสด คอนโด และโรงแรม!
- #SundayWellSpent โกยความสุข 12 ชั่วโมงในวันอาทิตย์ ณ ซอย สุขุมวิท 49
- ซอกแซกย่านญี่ปุ่น ตุนความสุข ณ ซอยสุขุมวิท 33 กับ #SundayWellSpent
- #SundayWellSpent เดินเล่นซอยนานา ย่านเยาวราช ตั้งแต่เช้าจรดค่ำกัน!
- #SundayWellSpent ย่านธุรกิจ ‘สาทร’ ซอย 10, 11 และ 12 มีอะไรให้ทำในวันอาทิตย์บ้าง?
- #SundayWellSpent ตะลอนย่านฮิปที่ซอยอารีย์
- #SundayWellSpent พักผ่อนร้านโน้น…นั่งชิลร้านนี้ ที่ซอยหลังสวน