‘แก๊ป นิชา’ ศิลปินสาวผู้สร้างผลงานด้วยความยึดมั่น มีวินัย และหลงใหลในศิลปะ
รู้จักตัวตนศิลปินสาว ‘แก๊ป-นิชา เจริญสุข’ ผ่านบทสนทนาที่จะทำให้คุณอยากไปชมผลงานจริงของเธอในงาน Meeting of Styles 2019
ไม่ว่าคุณจะเป็นบุคคลที่ชื่นชอบงานศิลปะหรือไม่ เราคิดว่าผลงาน Digital Illustration สุดโดดเด่นของศิลปินสาว ‘แก๊ป-นิชา เจริญสุข’ น่าจะผ่านสายตาหลายๆ คนมาบ้าง
เพราะเธอได้เดินบนเส้นทางของศิลปินอย่างไม่หยุดนิ่ง ควบคู่ไปกับการเป็นนักเขียนในวงการโฆษณา อาชีพหลักที่เธอพัฒนาและฝึกฝนมาเป็นระยะเวลากว่า 10 ปีแล้ว (ปัจจุบันแก๊ปทำงานเขียนอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์)
ที่ผ่านมา เธอได้แสดงฝีมือด้านศิลปะให้เราได้ชมมาแล้วหลายครั้ง เช่น การจัดนิทรรศการเดี่ยวอย่าง Relationshit (2015), เป็นศิลปินหลักในอีเวนต์วันสตรีสากลโลกของโรงแรม W Bangkok, เป็นครีเอทีฟไดเรกเตอร์ให้กับแบรนด์เครื่องสำอาง Maybelline และองค์กรสหประชาชาติเพื่อสตรีและเด็กผู้หญิงอย่าง UN Women รวมถึงสร้างสรรค์สตรีทอาร์ตในงาน Meeting of Styles Thailand 2018
ซึ่ง Siam2nite ได้มีโอกาสพูดคุยกับแก๊ป ก่อนไปร่วมเสพย์ผลงานกราฟฟิตี้ของเธอและศิลปินอื่นในงาน Meeting of Styles Thailand 2019 ณ ตลาดยิปซีฟลาเมงโก้เลค Kingdom of Art & Music ในวันศุกร์, เสาร์ และอาทิตย์ที่ 10-12 พฤษภาคม 2562
เพราะฉะนั้นเราไปทำความรู้จักตัวตนของ ‘แก๊ป-นิชา เจริญสุข’ กันเลยดีกว่า!
ความสนใจในด้านศิลปะของคุณเริ่มตั้งแต่ตอนไหน
ด้วยความที่พ่อเราจบมาด้านศิลปะ มีความหลงใหลในด้านนี้และการวาดรูปมาตลอด เราก็เลยมีความสนใจและรักในศิลปะตามคุณพ่อไปด้วยมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว
ตั้งแต่ตอนนั้น คุณพัฒนาทักษะต่างๆ ในด้านนี้อย่างไรบ้าง
พ่อให้เราหัดวาดรูปตั้งแต่เล็ก เราก็ฝึกฝนและพัฒนาฝีมือมาตลอดถึงช่วงมัธยมปลาย จนได้ไปเรียนต่อปริญญาตรีด้านศิลปกรรมศาสตร์ที่ The Art Insitute of Chicago
ปัจจุบันเราก็ยังฝึก ยังพัฒนาฝีมือการวาดอยู่เกือบทุกวัน ซึ่งเราทำได้ด้วยการมีความยึดมั่น วินัย และความหลงใหลให้กับการสร้างผลงาน
คำว่า ‘สตรีทอาร์ต’ สำหรับคุณหมายความว่าอย่างไร แล้วเสน่ห์ของศิลปะลักษณะนี้คืออะไร
เราว่าโลกนี้ต้องมีสตรีทอาร์ตนะ สำหรับเราสตรีทอาร์ตเป็นสื่อกลางที่ทำให้ศิลปะมันเข้าถึงง่ายสำหรับทุกคน และข้อนี้มันก็คือหัวใจของศิลปะไม่ใช่เหรอ ศิลปะไม่ควรโดนจำกัดให้อยู่แต่ในแกลเลอรี่หรือพิพิธภัณฑ์ คนทุกเพศทุกวัยและทุกชนชั้นของสังคมควรได้มีโอกาสเข้าถึงและสัมผัสงานศิลปะ เรามองว่าสตรีทอาร์ตทำให้การเข้าถึงตรงนี้เกิดขึ้นได้ค่ะ เนี่ยแหละสุดยอดเสน่ห์อย่างนึงของสื่อตัวนี้สำหรับเรานะ
สถานที่ที่คุณมักไปวาดกราฟิตี้ มีที่ไหนบ้าง
ตอนนี้เราอยู่สิงคโปร์ เลยแทบไม่มีโอกาสออกไปวาดสตรีทอาร์ตแล้ว แต่ตอนอยู่กรุงเทพเรามักจะไปวาดตามกำแพงที่มีคนมาพ่นคำด่าหรือคำหยาบคายไว้ เพราะเราเชื่อว่ากำแพงแบบนี้มันเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนที่มันตั้งอยู่ มันไม่ควรเป็นแหล่งเกิดของความรู้สึกแง่ลบ
ข้อดีที่สุดอย่างหนึ่งของสตรีทอาร์ตคือมันช่วยเปลี่ยนสภาพแวดล้อมในที่ที่เราไปสร้างมันไว้ได้ ในฐานะสตรีทอาร์ติสท์ เรารู้สึกว่าเราควรใช้ประโยชน์จากลักษณะและความสามารถที่มีพลังตรงนี้ของสตรีทอาร์ตให้ได้
ผลงานแต่ละชิ้นของคุณย่อมมีแรงบันดาลใจหรือเรื่องราวที่อยากนำเสนอ เล่าให้เราฟังได้ไหมว่าส่วนใหญ่เป็นสิ่งใดหรือเรื่องราวแบบไหน
เราทำ “งานประจำ” เป็นครีเอทีฟและนักเขียน เพราะงั้นงานของเราก็มักจะสะท้อนพวกแรงบันดาลใจหรือไอเดียเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างวัน เรื่องราวของไอเดียพวกนี้ก็จะมีอยู่หลายหัวข้อ เป็นเรื่องที่เราอยากจะสื่อสารให้คนอื่นๆ รู้ แต่เราจะยึดหลักข้อนึงไว้เสมอ ก็คือเรื่องราวและสิ่งที่เราจะสื่อมันต้องมีความซื่อตรงและจริงใจที่สุดเท่าที่เราจะทำได้
ศิลปะทำให้มุมมองที่คุณมีต่อตัวเองหรือต่อโลกภายนอกเปลี่ยนไปบ้างไหม
การเป็นศิลปินมีอิทธิพลต่อตัวตนเรามากๆ เลยแหละ สำหรับเรา เราไม่ได้แค่ ‘อยาก’ จะแสดงออกผ่านศิลปะ แต่เรียกได้ว่าเรา ‘ต้อง’ ทำมากกว่า เราแสดงออกผ่านสื่อหลายอย่าง ทั้งวาดเขียนฝาผนังไปจนถึงเขียนบทกวี ยอมรับตามตรงเลยว่าถ้าไม่ได้ทำแบบนี้ เราก็คงไม่รู้เหมือนกันว่าชีวิตนี้เราจะทำอะไร
ส่วนในแง่ทำให้มุมมองต่อโลกภายนอกเปลี่ยนบ้างไหม เราว่าพอมองโลกผ่านเลนส์ของงานศิลปะ มันก็ทำให้โลกดูงดงาม มีความหมาย แล้วก็ลึกซึ้งมากขึ้นอีกนิดนึงนะ
ผลงานของคุณที่เผยแพร่ออกมาในช่วงแรกๆ กับปัจจุบันแตกต่างกันมากน้อยขนาดไหน อย่างไรบ้าง
พัฒนาการของผลงานตัวเองช่วงสิบปีหลังมานี้ที่เราเห็นได้ชัดที่สุดเลยก็คือความ “สุกงอม” ในฐานะคนสร้างสรรค์งาน ที่ผ่านมาเราฝึกทักษะด้านที่เราเรียนมามากกว่าการคิดคอนเซ็ปต์หรือการทำความเข้าใจมันในแง่ต่างๆ เรามุ่งแต่จะเป็นนักวาดนักเขียนรูปบนผนังที่เก่งกว่านี้ สื่ออื่นๆ ก็ด้วย เราอยากเป็นนักเขียนหรือกวีที่เก่งกว่านี้ เป็นอยู่อย่างนั้นเกือบ 10 ปี
เราว่าข้อแตกต่างระหว่างเราในฐานะศิลปินตอนนี้กับตัวตนศิลปินของเราเมื่อ 10 ปีที่แล้วก็คือ ตอนนี้เราไม่มองว่าศิลปินต้องมีฝีมือแค่ด้านเดียวแล้ว เราเชื่อว่าท้ายที่สุดแล้ว ไอเดียที่ทำให้เกิดงานศิลปะขึ้นมามันสำคัญกว่าสื่อที่เราใช้ คือใช่ สื่อกลางและกระบวนการทำงานก็สำคัญระดับนึง แต่ถ้ามัวยึดติดกับเทคนิคใดเทคนิคเดียว มันจะกลายเป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ที่คอยขวางไม่ให้เราเติบโตในฐานะศิลปินได้จนสุดขีดความสามารถ
คุณได้รับอิทธิพลทางด้านศิลปะจากศิลปินหรือคนอื่นบ้างไหม
เราเรียนเอกประวัติศาสตร์ศิลปะมา และโชคดีที่ตอนปีหนึ่งได้มีโอกาสไปเรียนศิลปะคลาสสิกที่ฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี คิดว่าอะไรพวกนี้ก็มีอิทธิพลต่องานเรามาก รวมไปถึงการที่เราชื่นชอบศิลปะโดยทั่วๆ ไปด้วย
ก็พูดได้ว่าเราได้อิทธิพลจากศิลปินคลาสสิกหลายคนนะ ทั้งคนที่ศึกษามาด้านนี้โดยเฉพาะอย่าง Leonardo Da Vinci หรือ Michelangelo และศิลปินที่มีการแสดงออกโดดเด่น เช่น Frida Khalo, Hieronymus Bosch, M.C. Escher และ George Segal กลุ่มหลังนี้ก็มีอิทธิพลต่อเรามากเหมือนกันในช่วง 10 ปีมานี้
เคยมีช่วงเวลาที่รู้สึกว่าความครีเอทีฟของตัวเองหายไป หรือเรียกง่ายๆ ว่า ‘ตัน’ บ้างไหม แล้วคุณใช้วิธีอะไรในการทำให้ไอเดียและความคิดสร้างสรรค์ของตัวเองกลับมาแล่นอีกครั้ง
เราว่าวิธีที่จำกัดอาการตันที่ดีสุดก็คือเราต้องมีวินัย กับสมุดสเก็ตช์ภาพสักเล่ม
ถ้ามีวินัยเราก็จะทำงานต่อได้ถึงเราจะยังไม่รู้ว่าต้องไปทางไหน พ่อเราจะชอบพูดว่า “ถ้าเรารักจะวาด ให้วาดอะไรก็วาดได้ทั้งนั้นแหละ” เพราะงั้นเราก็จะเตือนตัวเองแบบนั้นถ้าเกิดอาการตันขึ้นมา การพกสมุดสเก็ตช์ภาพไปด้วยทุกที่ก็ช่วยได้เหมือนกัน มันทำให้เรามีโอกาสเก็บแรงบันดาลใจเล็กๆ ระหว่างวันไว้จนได้ความครีเอทีฟกลับคืนมา แล้วก็มีแรงวาดรูปต่อไปได้
คุณเคยสร้างผลงานกับ Meeting of Styles Thailand มาก่อนแล้วในปีค.ศ. 2018 สำหรับครั้งนี้คุณเตรียมตัวอย่างไรและรู้สึกอย่างไรบ้าง
ถ้าให้ตอบว่ารู้สึกยังไงบ้างที่ได้ร่วมงาน Meeting of Styles ในปีนี้ ก็คงต้องตอบว่าตื่นเต้นสุดๆ เลยค่ะ! ปีนี้เราต้องทำงานกับสื่อที่ต่างจากผลงานทุกชิ้นที่ผ่านมา ช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาเราก็เลยเตรียมตัวด้วยการคิดหาดีไซน์ที่เข้ากันได้กับสื่อประเภทนี้ กับสถานการณ์และเรื่องราวแบบนี้ ในตอนนี้เราคิดว่าน่าจะเป็นวิธีเตรียมตัวที่ดีที่สุดแล้ว
ฝากอะไรถึงน้องๆ ศิลปินที่กำลังเริ่มเดินบนเส้นทางเดียวกับคุณสักหน่อยได้ไหม
ที่ผ่านมาถ้าจะมีอะไรช่วยเราได้ ก็คงจะเป็นความมุ่งมั่นไม่เปลี่ยนแปลงของเราในการสร้างงานศิลปะและการพัฒนาฝีมือตัวเอง ความจริงก็ไม่อยากพูดอะไรซ้ำๆ แต่เราเชื่อว่าท้ายที่สุดแล้วในการทำงานสร้างสรรค์เนี่ย เราต้องมีความอดทนมากพอๆ กับมีวินัยค่ะ ถ้าคิดจะเป็นคนสร้างสรรค์งาน เราจะมัวมารอไอ้ของที่เดี๋ยวมาเดี๋ยวไป เอาแน่เอานอนไม่ได้อย่างแรงบันดาลใจไม่ได้หรอก เราจะสร้างงานโดยรอให้มันมาหาเราตลอดไม่ได้
บางวันกว่าจะวาดรูปได้นิดๆ หน่อยๆ ก็อาจจะเลือดตาแทบกระเด็น หรือบางวันแค่ขีดๆ เขียนๆ ออกมาก็อาจจะดูดีไปหมด แต่ไม่ว่าจะยังไง ทุกๆ วันเราต้องยึดมั่นในเป้าหมายของเรา อะไรที่เราโหยหาและต้องการที่จะทำในฐานะคนที่มีไฟสร้างสรรค์ในตัว เราทำออกมาให้เสร็จก่อนเลย แล้วค่อยมาคิดทีหลังว่าที่ทำน่ะดีหรือไม่ดี
สามารถติดตามผลงานต่างๆ ของ ‘แก๊ป-นิชา เจริญสุข’ ผ่านช่องทางด้านล่างได้เลย!