15 ร้านอาหารอิตาเลียนสูตรต้นตำรับใจกลางกรุงเทพ อร่อยแบบไม่เลี่ยน
ไม่ต้องบินไปถึงอิตาลี แต่กรุงเทพก็มีร้านอาหารอิตาเลียนดีๆ มากมาย และนี่คือรายชื่อสุดยอดร้านที่ต้องตามไปเช็คอินสักครั้ง
อาหารอิตาเลียน ถือเป็นอีกหนึ่งสไตล์อาหารที่เป็นที่นิยมของคนไทย สังเกตได้จากร้านอาหารจากแดนมะกะโรนีที่มีให้เลือกชิมกันอยู่ทั่วมุมเมือง โดยเมนูที่หลายคนนึกถึงคงหนีไม่พ้น พิซซ่าหรือสปาเกตตี้ แต่จริงๆ อาหารอิตาเลียนมีอีกหลากหลายเมนูที่น่าสนใจไม่แพ้กัน
โดยเราจะพาทุกคนไปพบกับ 15 ร้านอาหารอิตาเลียนที่มาพร้อมกับเมนูเด็ดสูตรต้นตำรับ ประหนึ่งว่าได้ยกอิตาลีมาไว้ที่ไทยกันเลยทีเดียว แถมบางร้านยังควบคุมทุกขั้นตอนการผลิตโดยเชฟชื่อดังระดับโลกอีกด้วย เรียกได้ว่าครบเครื่องขนาดนี้ รับประกันความอร่อยแบบขนานแท้แน่นอน และยังเดินทางง่ายดายด้วยโลเคชั่นสุดสะดวกใจกลางกรุงเทพฯ บอกเลยว่าห้ามพลาด
Theo Mio (ธีโอ มิโอ)
เปิดประเดิมกันด้วยร้านอิตาเลียนชื่อดังระดับโลก โดยฝีมือของ Theo Randall เซเลบริตี้เชฟสุดฮอตจากเกาะอังกฤษ ที่อัดแน่นไปด้วยประสบการณ์ในวงการอาหาร ทั้งการเป็นหัวหน้าพ่อครัวที่ร้าน River Cafe ร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์ และการเปิดร้านอาหารที่ใช้ชื่อเดียวกับตัวเขาเองที่โรงแรม InterContinental London Park Lane จนสร้างชื่อเสียงและแฟนคลับไปทั่วโลก
ส่วนร้านที่ไทยนั้นถือเป็นสาขาแรกนอกประเทศอังกฤษ โดยเปิดให้บริการที่โรงแรม InterContinental Bangkok ในชื่อร้านว่า Theo Mio มาพร้อมอาหารอิตาเลียนสไตล์โฮมเมด ซึ่งที่สาขาบ้านเรานั้น ก็ได้รับการดูแลทุกขั้นตอนจากเชฟ Theo Randall เหมือนสาขาที่อังกฤษแบบไม่ผิดเพี้ยน จึงมั่นใจได้ถึงคุณภาพอันดีเยี่ยมและรสชาติแบบต้นตำรับขนานแท้
สำหรับวัตถุดิบนั้นได้คัดเลือกมาเป็นอย่างดี มีทั้งส่วนที่นำเข้ามาจากอิตาลีและส่วนที่ผลิตในบ้านเราเอง นำมาผสมผสานกลายเป็นเมนูอาหารอิตาเลียนหลากเมนู โดดเด่นสุดๆ ต้องยกให้เส้นพาสต้า ที่ทางร้านทำขึ้นมาแบบสดๆ จึงสัมผัสได้ถึงความใส่ใจแบบเต็มที่ รวมไปถึงเมนูอื่น ที่ต้องบอกว่าดีงามไม่แพ้กัน
ในส่วนของการตกแต่งร้านมาในโทนสีน้ำเงินและฟ้าเทอร์ควอยส์ เพิ่มความร่มรื่นด้วยสีเขียวของต้นไม้ใหญ่ในร้าน โดดเด่นด้วยครัวเปิด ที่เราสามารถเห็นทุกขั้นตอนการผลิตของอาหารในแต่ละจานได้อย่างใกล้ชิด ส่วนที่ใครอยากนั่งรับลมชมวิว ก็มีโซนด้านนอกเอาไว้รองรับด้วยเช่นกัน
Attico (แอททิโก)
หากใครที่ชอบทานอาหารท่ามกลางวิวมุมสูงอันสวยงามของกรุงเทพฯ ที่ Attico น่าจะเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดี เพราะร้านอาหารอิตาเลียนแห่งนี้ ตั้งอยู่บนชั้น 28 ของโรงแรม Radisson Blu Plaza Bangkok ที่สามารถมองเห็นทัศนียภาพของเมืองหลวงกันได้อย่างเต็มตา ไม่ว่าจะนั่งโต๊ะไหน ก็สามารถสัมผัสวิวเมืองหลวงกันได้ทุกมุม
สิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจอีกอย่างคือการตกแต่งร้าน ที่เหมือนได้วาร์ปจากกรุงเทพฯ ไปยังอิตาลีในเวลาไม่ถึงนาที โดยเราสามารถสัมผัสได้ตั้งแต่เดินออกมาจากลิฟท์ ซึ่งขนาบข้างไปด้วยถังไวน์ไม้โอ๊คขนาดใหญ่ ที่ให้ความรู้สึกเหมือนอุโมงค์ย่อมๆ เมื่อเดินตามทางไปเรื่อยๆ ก็จะเจอกับพื้นที่ของร้านอาหารอันกว้างขวาง ตกแต่งในสไตล์ทัสคานี ให้กลิ่นอายชนบทของอิตาลี ส่วนเฟอร์นิเจอร์จะใช้ไม้เป็นวัสดุหลัก
สำหรับอาหารของที่นี่จะเป็นสูตรอิตาเลียนแท้ๆ ที่รังสรรค์ขึ้นโดยเชฟชาวอิตาเลียนตัวจริง ชูจุดเด่นด้วยการเลือกใช้วัตถุดิบสดใหม่ระดับคุณภาพ ซึ่งมีทั้งของนำเข้าและของในประเทศ โดยอาหารจะมาในคอนเซปต์ Home Style ที่ดึงรสชาติของอาหารจากอิตาลี ตั้งแต่เหนือจรดใต้ มาผสมผสานกันได้อย่างลงตัว
La Bottega di Luca (ลา บอทเทก้า ดิ ลูก้า)
ร้านอาหารอิตาเลียนที่ตั้งอยู่ในโครงการ The 49 Terrace ในซอยสุขุมวิท 49 ที่พาจะคุณไปสัมผัสกับรสชาติอาหารในแบบอิตาเลียนขนานแท้ ที่ดูแลทุกขั้นตอนการผลิตโดยคุณ Luca Appino ผู้ที่เป็นทั้งเชฟและเจ้าของร้านชาวอิตาเลียน ที่ไปสรรหาวัตถุดิบต่างๆ จากทั่วอิตาลีมาด้วยตัวเองกับมือ ซึ่งถือเป็นการรวบรวมของดีประจำแคว้นต่างๆ ของอิตาลี ยกมารวมกันไว้ที่นี่ที่เดียว รวมถึงการใช้ส่วนผสมเกรดพรีเมียมในการปรุงอาหารทุกเมนู เรียกได้ว่าไม่ต้องบินไปถึงอิตาลี เราก็สามารถสัมผัสอาหารสไตล์อิตาเลียนแท้ๆ ได้ในร้านใจกลางกรุงเทพฯ
เมนูอาหารมีให้เลือกอย่างหลากหลาย ทั้งในส่วนของ Starter, Main Course และของหวาน ส่วนสายดื่มบอกเลยว่าต้องเปรมปรีดิ์ เพราะว่าที่นี่มีไวน์ชั้นดีทั้งจากอิตาลีและอีกหลายประเทศคอยให้บริการ นอกจากนี้ยังมี Set Lunch ในราคาเบาๆ พร้อมด้วยเมนูสไตล์ Antipasti ที่สามารถทานได้แบบไม่อั้น ให้ได้เติมพลังกันระหว่างวันอีกด้วย นอกจากนี้ทางร้านยังมีการจัดอีเว้นท์พิเศษอย่างต่อเนื่อง เช่นการต้อนรับเชฟรับเชิญพิเศษ ที่จะมาจับคู่กับเชฟของร้าน รังสรรค์เมนูพิเศษประจำฤดูกาลให้ได้ลิ้มลอง ใครที่ชอบอาหารสุดพิเศษผสานความแปลกใหม่ บอกเลยว่าต้องติดตามข่าวสารของทางร้านให้ดี
ในด้านการตกแต่งร้านมีการใช้โทนสีน้ำตาล ให้ความรู้สึกเคร่งขรึมแต่แฝงไว้ด้วยความอบอุ่น มีที่นั่งให้เลือกทั้งโซนอินดอร์และเอ้าท์ดอร์ พร้อมครัวเปิดที่เราสามารถสัมผัสทุกขั้นตอนการทำอาหารได้อย่างใกล้ชิด
Pizza Massilia (พิซซ่า มาสซิเลีย)
จากจุดเริ่มต้นด้วยการเป็น Food Truck บน ถ.สีลม ที่สร้างชื่อเสียงให้คนรักพิซซ่าและอาหารอิตาเลียนได้ถวิลหาถึงรสชาติอันดีเยี่ยม ก่อนจะขยับขยายมาเป็นร้านอาหารแบบจริงจังถึง 2 สาขา คือ สุขุมวิท 49 และ ร่วมฤดี ทำให้วันนี้ร้าน Pizza Massilia ขึ้นแท่นเป็นร้านเด็ดอีกหนึ่งร้าน ที่ต้องแวะมาลิ้มลองความอร่อยสักครั้ง
บอกเลยว่าเราอยากให้คุณลืมพิซซ่าทุกแบบที่เคยทานมา เพราะพิซซ่าของที่นี่เป็นสไตล์อิตาเลียนที่แท้ทรู ผ่านกรรมวิธีการอบในเตาถ่านที่อิมพอร์ทมาจากอิตาลี ซึ่งเตาสีทองสุดอลังการตัวนี้นี่แหละ ถือเป็นหัวใจหลักของร้านที่สร้างสรรค์เคล็ดลับความอร่อย ให้ออกมาเป็นพิซซ่าน่ารับประทานกว่า 17 ชนิด ที่มีทั้งแบบดั้งเดิมและแบบที่เชฟครีเอทขึ้นมาใหม่ ส่วนแป้งที่ใช้ทำพิซซ่าเป็นแป้งนำเข้าจากต่างประเทศ ก่อนจะนำมาหมักกับยีสต์แล้วทิ้งไว้เป็นเวลานาน 72 ชั่วโมง
แม้ว่าจะเป็นร้านพิซซ่า แต่ทางร้านก็ยังมีเมนูอื่นๆ สไตล์อิตาเลียนให้บริการด้วย ซึ่งมีทั้งเมนูเรียกน้ำย่อย เมนูหลัก ของหวาน รวมไปถึงเครื่องดื่ม ให้เติมเต็มความอร่อยกันอย่างครบครัน เมื่อทุกอย่างดีงามขนาดนี้ ก็เลยไปเข้าตาทีมงาน Michelin Star จนทำให้ร้านได้รับรางวัล The Plate ของ Michelin Guide ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้ร้านอาหารคุณภาพดีที่ใช้วัตถุดิบสดใหม่และปรุงอย่างพิถีพิถัน
ส่วนใครที่ไม่สะดวกไปที่ร้าน เขาก็ยังมีบริการ Delivery เสิร์ฟความอร่อยกันถึงบ้านอีกด้วย
Biscotti (บิสคอตติ)
อีกหนึ่งร้านอาหารที่ได้รับรางวัล The Plate จาก Michelin Guide เป็นเครื่องการันตีความยอดเยี่ยมและคุ้มค่า โดยร้านตั้งอยู่ที่โรงแรม Anantara Siam Bangkok เปิดให้บริการมาอย่างยาวนาน และได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่อง มาพร้อมคอนเซปต์ร้านอาหารอิตาเลียนร่วมสมัย ที่จะมอบประสบการณ์การทานอาหารในแบบที่ทุกคนต้องประทับใจ ซึ่งนอกจากจะได้สัมผัสรสชาติอาหารอันยอดเยี่ยมแล้ว เรายังจะได้สัมผัสถึงวิธีการปรุงอาหารจากเชฟมากประสบการณ์อย่างใกล้ชิดผ่านครัวเปิดใจกลางร้าน ส่วนการตกแต่งร้านก็ดูสวยงาม หรูหรา และเป็นเอกลักษณ์
สำหรับอาหารมีให้บริการทั้งมื้อกลางวันและมื้อค่ำ ที่เน้นอาหารอิตาเลียนสไตล์ Home Cooking แบบต้นตำรับ โดดเด่นด้วยหน้าตาอาหารที่สวยงามชวนถ่ายรูป ดูแลทุกขั้นตอนการผลิตโดยชาวอิตาเลียนขนานแท้ โดยมื้อกลางวันจะเน้นไปที่อาหารทานง่ายรวดเร็ว รวมไปถึงอาหารสไตล์ Antipasti แบบบุฟเฟ่ต์ ที่จะช่วยเติมพลังระหว่างวันได้เป็นอย่างดี
ส่วนมื้อดินเนอร์จะเน้นเสิร์ฟเมนูแบบ A La Carte ที่มีให้เลือกอิ่มอร่อยกันอย่างหลากสไตล์ อาทิ พิซซ่า, พาสต้า, ซีฟู้ด รวมไปถึงเมนูอื่นๆ อีกมากมาย ก่อนจะตบท้ายด้วยเมนูของหวาน ที่ทำขึ้นสดๆ แบบจานต่อจาน
Scalini (สกาลินี่)
ร้านอาหารสุดชิคที่ตั้งอยู่ในโรงแรม Hilton Sukhumvit Bangkok ถือเป็นห้องอาหารอิตาเลียนที่มีการผสมผสานความเป็นอเมริกันเข้าไปได้อย่างลงตัว ทั้งในส่วนของเมนูอาหารและการตกแต่ง โดดเด่นด้วยการใช้โทนสีเข้มและสีดำภายในร้าน เพิ่มความวิจิตรด้วยภาพกราฟฟิคของเมืองนิวยอร์กบนผนัง พร้อมด้วยไวน์เซลล่าร์ที่รวบรวมสารพันไวน์จากอิตาลีและอีกหลายประเทศ ให้นักดื่มได้ทานคู่กับอาหารหลากเมนู
สำหรับอาหารถูกนำเสนอออกมาในคอนเซปต์อาหารอิตาเลียนสไตล์โฮมเมด ที่ผสมกลิ่นอายความเป็นอเมริกันลงไปเพื่อความแปลกใหม่ แต่กลายเป็นรสชาติที่ดีที่ทำให้ใครหลายคนติดใจ มีเมนูอาหารหลากสไตล์พร้อมให้บริการอย่างครบครัน ไม่ว่าจะมาคนเดียว มาเป็นคู่ หรือใครที่เน้นมาสังสรรค์กันแบบกลุ่มเพื่อน ทางร้านก็มีทีเด็ดอย่างเมนูสไตล์ Platter ไซส์ใหญ่ยักษ์ ให้เอาไว้แชร์ความอร่อย พร้อมนั่งเม้าท์มอยกันได้แบบออกอรรถรส
นอกจากนี้ในโอกาสพิเศษหรือวันหยุดสุดสัปดาห์ ทางร้านก็ขอเอาใจสายจัดหนักด้วยเช่นกัน กับหลากหลายเมนูบุฟเฟ่ต์สุดหรู ที่ให้สาวกได้อิ่มอร่อยกันแบบไม่อั้น ไม่ว่าจะเป็น Saturday Brunch หรือ Sunday Brunch ที่เหล่านักชิมต่างร่ำลือถึงชื่อเสียงของบุฟเฟ่ต์ที่ร้าน Scalini กันมาอย่างยาวนาน ชูโรงด้วย ล็อบสเตอร์ คาเวียร์ ฟัวกราส์ หอยนางรม ที่ทำให้สายกินต้องฟินกันแบบสุดๆ
Rossini’s (รอสซินี่ส์)
ร้านอาหารอิตาเลียนเก่าแก่ที่อยู่คู่โรงแรม Sheraton Grande Sukhumvit มาอย่างยาวนาน เมื่อเข้าไปในร้านจะเหมือนหลุดไปยังประเทศอิตาลี ผ่านการตกแต่งร้านสไตล์ Tuscan Villa ที่ให้ความรู้สึกคลาสสิคทั้งจากการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ รวมไปถึงของประดับต่างๆ ภายในร้าน พร้อมด้วยโซนห้องไพรเวท ที่สามารถจัดงานปาร์ตี้ส่วนตัวได้
แม้จะให้บริการมาอย่างยาวนาน แต่ทางร้านก็มีการปรับปรุงเมนูอยู่ตลอด เพื่อให้ได้รสชาติที่สดใหม่ ภายใต้ธีมของอาหารอิตาเลียนแบบร่วมสมัย ที่ดูแลทุกขั้นตอนการผลิตโดยเชฟชาวอิตาเลียนฝีมือดี คัดสรรวัตถุดิบชั้นดีจากทั่วทุกมุมโลกมารังสรรค์เป็นอาหารแสนอร่อย แถมหน้าตายังสวยงาม น่าถ่ายรูปไปอวดเพื่อน
โดยอาหารบางเมนูยังมีเทคนิคพิเศษใส่มาให้เราได้ตื่นตาตื่นใจอีกด้วย และความดีงามเหล่านี้ก็ได้ไปถูกตาต้องใจทีมงาน Michelin จนทำให้ร้านได้รับรางวัล The Plate จาก Michelin Guide มาครอบครองอีกด้วย
La Tavola (ลา ทาโวล่า)
หากใครที่กำลังมองหาร้านอาหารอิตาเลียนแบบแท้ๆ ใจกลางเมือง La Tavola คืออีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ โดยร้านตั้งอยู่ที่ชั้น 3 ของโรงแรม Renaissance Bangkok Ratchaprasong ให้บริการอาหารอิตาเลียนสูตรคลาสสิคดั้งเดิม เน้นรสชาติที่ถอดแบบมาจากต้นตำรับ ผ่านการคัดสรรวัตถุดิบคุณภาพ ที่นำเข้ามาจากทั่วทุกมุมโลก ผสานการปรุงอาหารแบบพิถีพิถันในทุกขั้นตอน ที่รังสรรค์โดยเชฟชาวอิตาเลียนแบบจานต่อจาน มีเมนูต่างๆ ให้เลือกชิมกันหลากประเภท ไม่ว่าจะเป็น สลัด, พิซซ่า, พาสต้า, เมนูหลักอื่นๆ รวมไปถึงของหวานสไตล์อิตาเลียน ที่ขอบอกว่าเลยว่าอร่อยสุดๆ
นอกจากนี้ในโอกาสพิเศษต่างๆ ทางร้านยังมีเมนูสุดเอ็กซ์คลูซีฟ รวมไปถึงมื้ออาหารประจำเทศกาล ที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น La Tavola Apomeridiano Sunday ที่ให้บริการ Antipasti Buffet ในมื้อสายของทุกๆ วันอาทิตย์สุดท้ายของเดือน
ด้านการตกแต่งร้านก็เน้นไปที่ความเรียบหรูดูดี แต่แฝงกิมมิคสุดเก๋ด้วยลายปูนปั้นดอกไม้สีขาวสุดอลังการบนเพดาน พร้อมด้วยครัวเปิดแสนใหญ่โต ที่เราสามารถสัมผัสทุกขั้นตอนการปรุงอาหารได้อย่างใกล้ชิด ปิดท้ายด้วยไวน์บาร์สุดครบครัน ที่เพียบพร้อมไปด้วยไวน์ชั้นดีจากหลายประเทศ รวมไปถึงเครื่องดื่มอีกนานาชนิด ที่จะมาเป็นตัวช่วยให้คุณทานอาหารได้อร่อยขึ้นเป็น 2 เท่า
Pizzaiola by Massilia (พิซซ่าโยล่า บาย มาสซิเลีย)
ร้านพิซซ่าน้องใหม่ในเครือร้าน Pizza Massilia ที่กุมบังเหียนโดยเชฟและเจ้าของร้านชาวอิตาเลียนสุดอารมณ์ดีอย่างคุณ Luca Appino ซึ่ง Pizzaiola มาพร้อมคอนเซปต์ที่สดใส มีลูกเล่น และเข้าถึงกลุ่มคนในวงกว้างได้ง่ายขึ้น ผ่านโลโก้และคาแรคเตอร์ของร้านที่เป็นรูปหญิงสาวสีแดงชุดเหลือง รวมไปถึงการตกแต่งร้านด้วยสีสันสดใส และเมนูอาหารต่างๆ ที่ดูมีลูกเล่น แต่ยังคงความเป็นอิตาเลียนแท้ๆ ไว้ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งร้านยังอยู่ในโลเคชั่นใจกลางเมืองบนห้างดังอย่าง CentralWorld ที่สามารถแวะมาทานได้อย่างง่ายดายทุกเมื่อ
สำหรับเมนูอาหารต่างๆ ได้รับการดูแลทุกขั้นตอนโดย 2 เชฟชาวอิตาเลียน ที่บรรจงคัดสรรวัตถุดิบมาจากอิตาลีและอีกหลายประเทศทั่วโลก รวมไปถึงการผสมผสานวัตถุดิบแบบไทยๆ ลงไปด้วย เพื่อเพิ่มความแปลกใหม่และให้อรรถรสที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น โดยเมนูพระเอกอย่างพิซซ่า มีให้เลือกสั่งมาทานกันหลากหลายชนิด ทั้งพิซซ่ารสชาติต้นตำรับ พิซซ่าฟิวชั่นที่ใส่ความเป็นไทยเข้าไปได้อย่างลงตัว รวมไปถึงพิซซ่าหน้าของหวาน ก็น่าลิ้มลองไม่แพ้กัน
ส่วนแป้งพิซซ่าจะเลือกใช้แบบออแกนิคจากอิตาลี ที่มีทั้งความหนาและกรอบ ก่อนนำไปอบในเตาไซส์บิ๊กที่อุณหภูมิพอเหมาะ พิซซ่าจึงออกมาพร้อมกลิ่นหอมยวนใจ แป้งหนานุ่ม พร้อมสัมผัสที่กรอบได้ใจ นอกจากนี้ยังมีเมนูอื่นๆ อีกด้วย อาทิ ของทานเล่น, พาสต้า, ของหวาน และเครื่องดื่ม
ปิดท้ายด้วยการตกแต่งร้าน ที่ต้องบอกว่าให้ลุคสดใสเช่นเดียวกัน เพราะสะดุดตามาแต่ไกลด้วยไฟนีออนที่เป็นชื่อร้าน พร้อมโทนสีด้านในร้านที่เน้นสีฟ้า-ขาว เพิ่มลูกเล่นด้วยของตกแต่งสุดน่ารัก และครัวเปิดที่เราสามารถสัมผัสทุกขั้นตอนการทำอาหารได้อย่างใกล้ชิด
Medici (เมดิชี่)
หากใครที่เคยแวะมาที่โรงแรม Hotel Muse Bangkok คงจะคุ้นเคยกันดีกับร้านอาหารอิตาเลียนที่ตั้งอยู่ชั้นใต้ดิน โดยชื่อของ Medici ถูกตั้งตามตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ก่อนจะกลายมาเป็นหนึ่งในร้านอาหารอิตาเลียนที่ฮิตสุดๆ แห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ
โดยเมนูอาหารของที่นี่จะเน้นไปที่ความเป็นอิตาเลียนแบบดั้งเดิม มีการใช้วัตถุดิบที่ส่งตรงมาจากอิตาลีโดยตรง ผ่านการคัดสรรที่ดีเยี่ยมจากเชฟชาวอิตาเลียนมากประสบการณ์ ซึ่งเน้นในเรื่องของความสดใหม่ รวมไปถึงความพิถีพิถันในการปรุง เพื่อให้ได้รสชาติที่ดีเยี่ยมและเปี่ยมไปด้วยความคลาสสิค มีเมนูต่างๆ ให้เลือกสั่งมาทานกันหลากชนิด อาทิ พาสต้า, รีซอตโต้, รวมไปถึงสเต็ก ที่ถือเป็นเมนูยอดฮิตที่คนนิยมสั่ง
ด้านบรรยากาศภายในร้านก็เต็มไปด้วยความอบอุ่น โดดเด่นด้านการตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์นีโอ-อินดัสเทรียล ที่ผสมผสานระหว่างยุโรปและความเป็นไทยในสมัยรัชกาลที่ 5 เข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว พร้อมเติมเสน่ห์ด้วยครัวเปิด ที่เราสามารถชมทุกขั้นตอนการปรุงอาหารได้อย่างใกล้ชิด ก่อนจะเพิ่มสีสันยามค่ำคืนด้วยการแสดงจากวงโอเปร่า ที่มีการเปลี่ยนธีมไปในทุกสัปดาห์
La Scala (ลา สกาล่า)
นี่ถือเป็นอีกหนึ่งร้านอาหารอิตาเลียนที่อยู่คู่กรุงเทพฯ มาอย่างยาวนาน ซึ่งทางร้านก็มีการปรับเปลี่ยนสิ่งต่างๆ ให้เข้ากับยุคสมัย รวมไปถึงการรีโนเวทร้านให้ดูอลังการและสวยงามยิ่งขึ้น ด้วยฝีมือการออกแบบและตกแต่งของบริษัทอินทีเรียชื่อดังระดับโลก ที่เคยดีไซน์ห้องอาหารระดับมิชลินสตาร์มาแล้วหลายร้าน โดย La Scala ได้แรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากโรงละครที่เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี
นอกจากนี้ห้องอาหารยังมีไวน์เซลล่าร์และบาร์เครื่องดื่ม ที่รวบรวมไวน์ชั้นดีจากทั่วทุกมุมโลกไว้ให้เลือกกันมากมาย พร้อมด้วยครัวเปิด ที่เราสามารถแวะไปทักทายเชฟและชมทุกขั้นตอนการปรุงอาหารได้แบบริงไซด์
ซึ่งเรื่องของอาหารได้รับการดูแลโดยเชฟชาวอิตาเลียนโดยตรง ที่บินตรงมาจากเมืองฟลอเรนซ์เพื่อเสิร์ฟอาหารอิตาเลียนจานเด็ดให้พวกเราได้สัมผัสกัน โดยอาหารของที่นี่จะเป็นสไตล์โฮมเมดที่เน้นรสชาติแบบต้นตำรับ วัตถุดิบส่วนใหญ่จะอิมพอร์ตมาทั้งจากอิตาลีและประเทศอื่นๆ ก่อนจะนำมารังสรรค์มาเป็นเมนูอาหารที่มีให้เลือกอย่างหลากหลาย แถมหน้าตาอาหารยังสวยงาม ชวนให้ถ่ายรูปไปอวดเพื่อนอีกต่างหาก
Jamie’s Italian (เจมี่ส์ อิตาเลียน)
ร้านอาหารอิตาเลียนสไตล์โฮมเมดที่สร้างชื่อเสียงไปทั่วโลก โดยฝีมือของเซเลบริตี้เชฟชื่อดังจากอังกฤษอย่าง Jamie Oliver ซึ่งนี่ถือเป็นสาขาแรกในประเทศไทยที่ Siam Discovery โดยจุดเริ่มต้นของสาขาแรกนั้นอยู่ที่เมืองอ็อกซ์ฟอร์ด ก่อนจะขยายสาขาไปยังเมืองต่างๆ ในประเทศอังกฤษกว่า 42 สาขา และมีสาขาที่ประเทศอื่นๆ ทั่วโลกอีกกว่า 25 สาขา อาทิ สิงคโปร์, ฮ่องกง, ไต้หวัน, ออสเตรเลีย, รัสเซีย ฯลฯ
บรรยากาศภายในร้านเต็มไปด้วยความอบอุ่นและเป็นกันเอง ผสานการตกแต่งที่สวยงามและมีเอกลักษณ์ โดยมีการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้ โต๊ะสังกะสีสไตล์อินตัสเทรียล ไปจนถึงเก้าอี้หนังสไตล์วินเทจ พร้อมของประดับประดาต่างๆ ที่มาเป็นตัวช่วยให้ร้านดูน่านั่งมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีที่นั่งให้เลือกหลายมุม ทั้งโต๊ะติดกระจกที่มองเห็นแยกปทุมวัน หรือจะเป็นโต๊ะฝั่งที่ติดด้านในห้าง ก็น่านั่งไม่แพ้กัน
สำหรับเรื่องของอาหาร ทางร้านได้ตั้งใจคัดสรรส่วนผสมที่ดีที่สุดมาจากแหล่งต่างๆ ก่อนจะนำมาผสานกับสูตรอาหารอิตาเลียนแบบต้นตำรับในแบบฉบับของ Jamie Oliver โดยเฉพาะ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นเชฟชาวอังกฤษ แต่ก็มั่นใจได้ว่ารสชาติอาหารของที่นี่ มีความเป็นอิตาเลียนแบบดั้งเดิมมากๆ แถมยังอร่อยจนถูกใจแฟนๆ จนมีสาขามากมายทั่วโลก ที่เป็นเครื่องการันตีคุณภาพและความยอดเยี่ยม สำหรับไฮไลท์เด็ดของสาขาประเทศไทยนั้น อยู่ที่เรื่องของพาสต้า ที่เน้นการทำเส้นสดใหม่แบบวันต่อวัน รวมไปถึงวัตถุดิบชนิดอื่นๆ ที่ทางร้านได้ร่วมมือกับเกษตรกรท้องถิ่น สรรหาสินค้าแบบไทยๆ มาผสมผสานในบางเมนูได้อย่างลงตัว
Peppina (เปบปิน่า)
ร้านอาหารอิตาเลียนแห่งนี้ถือเป็นร้านอาหารสไตล์นาโปลีแท้ๆ ที่เป็นการยกความอร่อยจากทางภาคใต้ของอิตาลีมาให้คนกรุงเทพฯ ได้ลิ้มลองกัน โดยเมนูพระเอกของร้านที่ถือเป็นซิกเนเจอร์ต้องยกให้พิซซ่า ที่เน้นรสชาติแบบต้นตำรับ มีให้เลือกลิ้มลองกันมากกว่า 10 หน้า ผ่านการควบคุมดูแลโดยเชฟชาวอิตาเลียน ผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการทำอาหารมานานกว่า 25 ปี
โดยเชฟนั้นคุ้นเคยกับการทำพิซซ่ามาเป็นอย่างดี แต่เมื่อต้องมาดูแลร้าน Peppina เชฟจึงไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม เพื่อต้องการให้ลูกค้าของร้าน ได้สัมผัสรสชาติพิซซ่าแบบอิตาเลียนโดยแท้จริง นอกจากนี้ยังได้มีการสรรหาวัตถุดิบคุณภาพต่างๆ เพื่อนำมาเติมเต็มให้แต่ละเมนูสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น โดยพิซซ่าแต่ละถาด จะนำไปอบในเตาสูตรดั้งเดิม แป้งจึงออกมาหอมนุ่มโดนใจสุดๆ แต่นอกจากพิซซ่าแล้ว ทางร้านก็ยังมีเมนูอื่นๆ ไว้คอยบริการเช่นกัน
สำหรับสาขาต้นตำรับของร้านนั้นตั้งอยู่ที่สุขุมวิท ซอย 33 ก่อนจะสร้างชื่อเสียงระบือไกลจนโดนใจแฟนๆ อาหารอิตาเลียนทั่วกรุง จนมีการขยายสาขาเพิ่มเติมไปยังพื้นที่ต่างๆ อาทิ Central Embassy, The Commons ทองหล่อ, Crystal Park, JAS Urban ศรีนครินทร์, Mega บางนา รวมไปถึงสาขาต่างจังหวัดอย่าง ชะอำ และเกาะสมุย อีกด้วย
Enoteca (อีโนติก้า)
ร้านอาหารอิตาเลียนใจกลางเมืองที่ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 27 แม้จะอยู่ในย่านที่คึกคักที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ แต่เมื่อก้าวเข้ามาในร้าน ก็เหมือนได้หลุดจากความวุ่นวายทั้งปวง เพราะบรรยากาศของร้านเต็มไปด้วยความอบอุ่นและเป็นกันเอง ให้ความรู้สึกเหมือนได้ทานอาหารที่บ้านเพื่อน โดยภายในร้านยังมีพื้นที่สีเขียวเพื่อเพิ่มความร่มรื่นในโซนเอ้าท์ดอร์ ส่วนโซนอินดอร์ก็ตกแต่งได้อย่างสวยงามและร่วมสมัย
ด้านเมนูอาหารของที่นี่จะเน้นเสิร์ฟอาหารอิตาเลียนสไตล์ดั้งเดิม ซึ่งได้รับการควบคุมดูแลโดยเชฟ Stefano Borra ที่เป็นเชฟระดับมิชลินสตาร์ โดยเชฟได้คัดสรรวัตถุดิบระดับพรีเมียมมาจากที่ต่างๆ เพื่อนำมารังสรรค์เป็นเมนูต่างๆ โดยเฉพาะ อีกทั้งยังมีเมนูพิเศษที่สามารถหาทานได้เฉพาะที่ร้าน Enoteca ที่เดียว
โดยเมนูอาหารจะมีให้เลือกทั้งแบบ A La Carte และแบบที่เสิร์ฟเป็นคอร์ส ด้วยรสชาติอันยอดเยี่ยมแบบต้นตำรับขนานแท้ จึงทำให้โดนใจคนรักอาหารอิตาเลียนหลายคน รวมไปถึงทีมงาน Michelin Star จนทำให้ร้านได้รับรางวัล The Plate จาก Michelin Guide ปีล่าสุดไปครองอีกด้วย
iO Italian Osteria (ไอโอ อิตาเลียน ออสเตอเรีย)
เคยไหมที่อยากทานอาหารอิตาเลียนหลายสไตล์จากแคว้นต่างๆ พร้อมๆ กัน แต่ก็ต้องตระเวนไปชิมหลายร้าน เพราะแต่ละร้านก็มีธีมที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งในวันนี้ปัญหานั้นจะหมดไป เพราะแฟนๆ อาหารอิตาเลียนจะต้องฟินไปกับร้าน iO Italian Osteria ที่มาพร้อมการนำเสนออาหารจากอิตาลีทั้ง 20 แคว้นภายในร้านเดียว โดยร้านนี้ถือว่าฮอตฮิตสุดๆ และสร้างชื่อเสียงมาแล้วที่สิงคโปร์ ก่อนจะขยายสาขามายังกรุงเทพฯ ที่ Groove@CentralWorld ชั้น 1
ทุกร้านในลิสต์ที่เราแนะนำไปแล้วข้างต้น ล้วนแล้วแต่ควบคุมดูแลโดยเชฟชายหนุ่ม แต่ร้านนี้ขอเป็นตัวแทน Girl Power เพราะได้เชฟ Anna Borrasi เชฟสาวชาวอิตาเลียน มารับหน้าที่รังสรรค์ความอร่อยให้เราได้ลิ้มลองกัน ผ่านประสบการณ์การทานอาหารภายใต้คอนเซปต์ที่ทุกคนสามารถสัมผัสอาหารอิตาเลียนต้นตำรับได้ในที่เดียว แม้ที่นี่จะมีเมนูให้เลือกไม่มาก แต่ทุกเมนูก็ได้รับการคัดสรรแล้วว่าแปลกใหม่สำหรับนักชิมชาวไทย ที่จะได้สัมผัสอาหารอิตาเลียนในมุมที่แตกต่างออกไป ในแบบที่ไม่ต้องบินไปไกลถึงอิตาลี นอกจากอาหารมื้อหลักแล้ว ที่นี่ยังมีเบเกอรี่และเครื่องดื่มไว้ให้ได้ลิ้มลองกันอีกด้วย
ในส่วนของการตกแต่งร้านมาในสไตล์อิตาลีแถบชนบท ให้ความรู้สึกสบายๆ และเป็นกันเอง ตกแต่งด้วยภาพถ่ายที่บอกเล่าเรื่องราวของอิตาลี พร้อมเติมความโดดเด่นด้วยครัวเปิด ที่มีเบเกอรี่วางเรียงรายอยู่ด้านหน้าครัว ผสานกลิ่นหอมที่ทำให้เราเกือบอดใจไม่ไหวต้องสั่งมาลองชิม โดยภายในร้านมีที่นั่งให้เลือกหลายมุม รวมไปถึงที่นั่งริมกระจกที่สามารถนั่งชมวิวพร้อมทานอาหารกันได้อย่างเพลิดเพลิน