Ross Kitchen ลิ้มรสอาหารไทย 4 ภาค ในบรรยากาศยุคหลังอันธพาลครองเมือง
ร้านอาหารไทยโมเดิร์นในย่านพญาไท ที่มีบาร์ค็อกเทลสุดชิคให้นั่งชิล!
หากถามถึงเสน่ห์ของเมืองไทยที่ทำให้เราเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ทุกคนคงเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่าคือ ‘อาหาร’ อาจจะด้วยวัตถุดิบ กรรมวิธีการปรุง หรือรสชาติใดๆ ก็ตาม ที่ถูกปากถูกใจคนแทบทุกชาติ ทำให้อาหารไทยแต่ละภาคถูกนำมาถ่ายทอดในหลากหลายสูตรและรูปแบบ
กรุงเทพฯ เองก็มีร้านอาหารไทยอร่อยๆ อยู่ทุกหัวมุมถนน ฉะนั้นการหาอาหารอีสานสุดนัว หรือแกงป่ารสจัดจ้านทาน จึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเราเท่าไหร่ เพียงแค่ตัดสินใจว่าวันนี้อยากทานอาหารภาคไหน เมนูอะไร ก็สามารถเดินเข้าร้านข้างทางและมีมื้อเย็นอิ่มท้องได้
เรามีโอกาสได้ไปเยือนร้านอาหารแห่งหนึ่งในย่านพญาไท ที่เสิร์ฟอาหารไทยเมนูเด่นจากทุกภาค เราจึงสามารถลิ้มลองอาหารพื้นบ้านใหม่ๆ ได้ในคราวเดียว รวมถึงมีบาร์ค็อกเทลภายในร้านอาหาร ให้เราจิบเครื่องดื่มเย็นๆ คู่กัน ณ Ross Kitchen (รสคิทเช่น)
เมื่อเดินเข้าโรงแรมอครา และขึ้นลิฟต์ต่อไปยังชั้น 4 จะพบกับห้องอาหารที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายความวินเทจ ร้านนำเสนอผ่านคอนเซ็ปต์เมืองไทยสมัยก่อน ช่วงยุค 70-80 องค์ประกอบและการตกแต่งทุกอย่างจึงสื่อถึงความเป็นไทยอย่างชัดเจน
เริ่มจากเคาร์เตอร์บาร์ที่เป็นครัวเปิดซึ่งได้แรงบันดาลใจจากรถทัวร์สีแสบ รอต้อนรับทุกคนให้ขึ้นรถแล้วออกเดินทางไปชิมอาหารแต่ละภูมิภาคด้วยกัน สร้างบรรยากาศบ้านๆ ด้วยการออกแบบโซฟาและเมนูอาหารเป็นลายผ้าขาวม้า ใช้โต๊ะและเก้าอี้ไม้ที่ให้ความรู้สึกแบบโฮมมี่เล็กน้อย ประดับผนังด้วยโปสเตอร์หนังไทยเก่าๆ รวมถึงดัดไฟนีออนเป็นรูปเสือที่ทั้งเรโทรและโมเดิร์นในเวลาเดียวกัน
Ross Kitchen (รสคิทเช่น) ตั้งใจนำเมนูอาหารไทยพื้นบ้านจาก 4 ภาคมาแปลงโฉมให้โมเดิร์น แต่คงไว้ซึ่งรสชาติความอร่อยจัดจ้านแบบไทยๆ โดยทุกเมนูจะนำไปฟิวชั่นเล็กน้อย เช่น เปลี่ยนวัตถุดิบหรือหน้าตาของอาหาร ที่ถูกตีความและใส่เทคนิคใหม่ๆ ลงไป
เมนูอาหารที่ร้านมีให้เลือกทานหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นประเภทยำ ย่าง กับข้าวหรือกับแกล้ม แต่ที่เป็นเมนูซิกเนเจอร์แนะนำ จานแรกคือ ลาบเป็ดคองฟี่ (400 บาท) นำเครื่องในเป็ดเช่น ตับ กึ๋น มาผสมกับเห็ด ปรุงรสด้วยเครื่องลาบ และเพิ่มความหอมด้วยน้ำมันทรัฟเฟิล ท็อปด้วยสะโพกเป็ดติดน่อง หมักแล้วนำไปตุ๋นในน้ำมันอุณหภูมิ 120 องศา เป็นเวลา 2 ชั่วโมง จากนั้นนำไปทอดกรอบ (ซึ่งหนังเป็ดอร่อยมาก!)
ทอดมันจุ้งลาวา (300 บาท) เป็นทอดมันกุ้งสอดไส้ไข่เค็ม มีรสชาติหวานเค็ม เสิร์ฟคู่น้ำจิ้มบ๊วยผสมซอสพริกที่เราคิดว่าเข้ากันเป็นอย่างมาก
เมนูถัดมาคือ แกงปูแม่กุ้ง (650 บาท) เป็นแกงเนื้อปูใบชะพลูของภาคใต้ โดยร้านใช้น้ำสต๊อกปู หัวกุ้ง ซีฟู้ดต่างๆ มาเคี่ยว ก่อนปรุงรสให้เข้ากัน ใส่กะทิ ใบชะพลู และเนื้อปูตามสูตร เสิร์ฟคู่เส้นหมี่ ถั่วพลู ถั่วงอก พริกแห้ง เมนูนี้มีมีรสเผ็ดเค็มที่ลดความจัดจ้านลงมาให้ทานง่ายขึ้น
เสือร้องไห้ (350 บาท) เชฟนำเนื้อวัวส่วนหน้าอกหรือบริสเก็ตมาหมักให้นุ่ม แล้วนำไปย่างสไตล์อีสาน เสิร์ฟคู่กับน้ำจิ้มแจ่วและชุดผัก โดยร้านใช้เนื้อวัว Grain Fed หรือเลี้ยงด้วยธัญพืช นำเข้าจากประเทศออสเตรเลีย
ต่อมาเป็นเมนูที่น่าจะถูกปากคนชอบทานอาหารรสแซ่บกับ ยำรถทัวร์ (450 บาท) เป็นเมนูซิกเนเจอร์ โดยนำซีฟู้ดอย่างแซลม่อน หอยเชลล์โฮตาเตะ และหอยนางรม มายำคล้ายๆ พล่า โดยกิมมิกอยู่ที่ร้านจะนำเครื่องยำ เช่น สะระแหน่ มะเขือเทศ พริกเผา กระเทียมเจียว หอมเจียว สมุนไพรต่างๆ ใส่จานเล็กเสิร์ฟเป็นเซ็ต แล้วค่อยมายำให้ชมกันสดๆ ถึงโต๊ะ
ส่วนจานนี้เป็นเมนูเรียกน้ำย่อยที่เสิร์ฟให้ทุกโต๊ะ เป็นปลาร้าบองและซัลซ่าลาว คล้ายแจ่วของภาคอีสาน ทั้งสองชนิดมีรสชาติเข้มข้น เผ็ดเล็กน้อยกำลังดี เสิร์ฟคู่แคปหมูในกระติ๊บจิ๋ว และผักเคียง เช่น แตงกวา มะเขือ ผักกาดขาว กะหล่ำปลี
ปิดท้ายมื้ออาหารด้วยเครื่องดื่มเย็นๆ บริเวณบาร์ค็อกเทลใน Ross Kitchen ที่ออกแบบในธีมตลาดไทยสมัยก่อน เลียนแบบวัฒนธรรมหนึ่งของบ้านเรา ที่เมื่อตลาดปิด ผู้คนจะมาตั้งโต๊ะกินดื่มกันหน้าตลาด จึงออกแบบสองฝั่งเป็นประตูบานเฟี้ยม พร้อมติดป้ายชื่อร้านที่ทำให้หวนนึกถึงบ้านเมืองเมื่อสี่สิบปีที่แล้ว เช่น พาราโอสถ สาวอีสานคาราโอเกะ ไฉไลบิวตี้ ฯลฯ
บิดให้มู้ดของบาร์มีความโมเดิร์นแฝงฟิวเจอร์ริสติก ตัดกับความวินเทจของคอนเซ็ปต์อย่างสุดขั้ว ด้วยไฟนีออนสีแดงจัด ที่เราคิดว่าคนที่ชื่นชอบการถ่ายภาพจะต้องอยากแวะมาแชะภาพที่นี่อย่างแน่นอน
สำหรับเมนูเครื่องดื่ม ร้านให้บริการทุกประเภทตั้งแต่ไวน์ เบียร์ ไปจนถึงน้ำสมุนไพรไทย แต่ที่พลาดไม่ได้ คือบรรดาซิกเนเจอร์ค็อกเทลจำนวน 6 ตัว (แก้วละ 380 บาท) ซึ่งเน้นการใช้เหล้าไทยและวัตถุดิบที่ใช้ในการทำอาหารไทยเป็นส่วนผสมหลัก
นวลนาง เมนูนี้คล้ายพีน่าโคลาด้าแต่ไม่ใส่กะทิ ใช้รัมไทยและรัมมะพร้าวเป็นเบส ผสมกับน้ำสับปะรด ไซรัป น้ำมะนาว โรยด้วยผงกะหรี่ ตกแต่งด้วยโป๊ยกั๊กและอบเชย ตามด้วย โป๊ะแตก เบสคือรัมไทยเช่นเดียวกัน ผสมกับไซรัป น้ำมะนาว เหยาะน้ำมันพริกเผาเล็กน้อย ตกแต่งด้วยผักชีใบเลื่อย พริกชี้ฟ้า และโรยผงกุ้งแห้ง
เครื่องดื่มสีม่วงแดงชื่อ รสอุทัย มีวอดก้าเป็นเบสที่นำไปอินฟิวส์กับโรสแมรี่ ผสมกับน้ำมะนาว น้ำมัลเบอร์รี่ ไซรัป น้ำยาอุทัยทิพย์ ออนท็อปด้วยโรสแมรี่และลูกมัลเบอร์รี่อบแห้ง และเมนูสุดท้ายคือ ลำยองสองใจ มีเบสเป็นสุราไทย ผสมกับบิตเทอร์และจัสมินไซรัป ตกแต่งด้วยดอกมะลิ ที่ทำให้เครื่องดื่มมีกลิ่นหอมมาก
เราคิดว่าที่ห้องอาหาร Ross Kitchen คุณจะได้ลองอาหารไทยที่ถูกนำมาตีความอีกแบบ มีการใช้วัตถุดิบที่แตกต่างออกไป และประยุกต์เทคนิคสมัยใหม่ในกรรมวิธีการปรุง แต่ยังคงรสจัดจ้านที่เราทุกคนคุ้นเคยเช่นเดิม
สามารถชวนครอบครัวและคนใกล้ชิดไปสัมผัสรสชาติความอร่อย และบรรยากาศแบบไทยสมัยก่อนได้ง่ายๆ ด้วยโลเคชั่นในเมือง และการเดินทางที่สะดวกสบาย เพราะห่างจาก Airport Link สถานีราชปรารภเพียง 200 เมตรเท่านั้น