15 สุดยอดร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์ ที่ควรค่าแก่การไปลอง
แนะนำ 15 ร้านเด็ดที่การันตีความยอดเยี่ยมด้วยรางวัลมิชลินสตาร์ สัมผัสรสชาติสุดพรีเมียมและคุณภาพคับจานในแบบที่ห้ามพลาด
หลังจากการเดินทางมาเยือนเมืองไทยของมิชลินสตาร์เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ก็ได้สร้างความฮือฮาให้กับเหล่ากับนักชิมทั่วประเทศ กับการออกไกด์บุ๊ค Michelin Guide ฉบับประเทศไทยครั้งแรกเมื่อปี 2018 และต่อเนื่องมายังฉบับล่าสุดปี 2019 ซึ่งมีร้านอาหารต่างๆ ในกรุงเทพฯ, นนทบุรี, สมุทรสาคร และภูเก็ต ได้รับการแนะนำลงในไกด์บุ๊คมากมาย
มิชลินสตาร์ ถือเป็นเครื่องหมายแสดงสัญลักษณ์ถึงคุณภาพความยอดเยี่ยมของร้านอาหารต่างๆ โดยปัจจุบันมีการออกไกด์บุ๊คมาแล้วในหลายเมืองชั้นนำ อาทิ นิวยอร์ค, ปารีส, ลอนดอน, โตเกียว, ฮ่องกง, สิงคโปร์ ฯลฯ ซึ่งจะมีการมอบรางวัลและจัดอันดับคุณภาพของร้านอาหารตามประเภทต่างๆ เริ่มต้นตั้งแต่การให้ดาว ตั้งแต่ 3 ดาว, 2 ดาว และ 1 ดาว โดยพิจารณาจากคุณภาพวัตถุดิบ, เทคนิคการปรุงอาหาร, รสชาติ, ความคิดสร้างสรรค์ และความคงที่ของคุณภาพ
นอกจากรางวัลมิชลินสตาร์แล้ว ก็ยังมีรางวัล BIB Gourmand (บิบ กูร์มองต์) คือ รางวัลที่มอบให้กับร้านอาหารคุณภาพดีในราคาไม่เกิน 1,000 บาท ปิดท้ายด้วยรางวัล Michelin Plates (มิชลิน เพลท) คือรางวัลสำหรับร้านอาหารคุณภาพดีที่ใช้วัตถุดิบสดใหม่และปรุงอย่างพิถีพิถัน
สำหรับนักชิมของมิชลินไกด์ จะมีอาชีพหลักเป็นนายธนาคาร, ทนาย, หมอ หรือนักธุรกิจ ที่ยินดีออกตระเวนชิมด้วยความเต็มใจ ซึ่งพวกเขาจะได้รับการเทรนด์เป็นอย่างดีจากมิชลิน จากนั้นจึงปลอมตัวเป็นลูกค้าปกติไปชิมอาหารตามร้านต่างๆ ซึ่งบางร้านอาจใช้เวลาในการชิมถึง 3-4 ครั้งต่อ 1 ปี เพื่อตรวจสอบความคงที่ของคุณภาพโดยรวม นอกจากนี้จดหมายจากลูกค้าที่เขียนส่งตรงมาถึงมิชลินไกด์ ยังถือเป็นส่วนประกอบเพื่อเป็นเกณฑ์ในการให้รางวัลอีกด้วย
เพื่อเอาใจสายอาหารและนักชิมทุกคน เราจึงขอแนะนำ 15 ร้านเด็ดที่ได้รับรางวัลมิชลินสตาร์ในกรุงเทพฯ มาให้ทุกคนได้ไปตามรอยกันแบบเต็มอิ่ม ขอบอกเลยว่าแต่ละร้านนั้น คุณภาพอัดแน่นสมคุณค่ามิชลินสตาร์แน่นอน
Elements (เอเลเมนท์)
ห้องอาหารที่ได้รับรางวัลมิชลินสตาร์ 1 ดาว ถึง 2 ปีซ้อน จากคู่มือแนะนำร้านอาหารและที่พักระดับโลก “มิชลินไกด์” ประเทศไทย หรือ Michelin Guide Thailand ให้บริการอาหารฝรั่งเศสที่ผสมผสานกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นเข้าไปได้อย่างลงตัว
โดยตัวร้านตั้งอยู่บนชั้น 25 ของโรงแรม The Okura Prestige Bangkok มาพร้อมการตกแต่งที่เรียบหรูและมีสไตล์ เน้นการใช้วัสดุประเภทโลหะโบราณ, กำแพงถ่าน และพื้นผิวไม้แข็ง เพื่อให้ห้องอาหารดูมีความน่าสนใจยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีครัวเปิด ที่เราสามารถชมการทำงานของเชฟได้อย่างใกล้ชิด เสมือนเป็นการยกเวทีการแข่งขันทำอาหารมาไว้ใจกลางร้าน
อาหารทั้งหมดที่ Elements ได้รับการรังสรรค์โดยทีมพ่อครัวที่มีความเชี่ยวชาญด้านอาหารฝรั่งเศส ผ่านการปรุงด้วยกรรมวิธีของอาหารฝรั่งเศสแบบต้นตำรับ ประกอบกับการคัดสรรวัตถุดิบชั้นดีจากทั่วทุกมุมโลก อีกทั้งยังมีการเลือกใช้ส่วนประกอบที่ใช้ปรุงอาหารญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็น ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ที่นำเข้าจากญี่ปุ่น สาหร่าย ซอสพอนซึ แกงกะหรี่ญี่ปุ่น ฯลฯ มาเป็นส่วนหนึ่งของอาหาร จนได้เมนูอาหารฝรั่งเศสที่มีกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นที่ทุกคนต้องติดใจ
สำหรับเมนูอาหารของทางร้านมีชื่อว่า “ทาคูมิ” เป็นเทสติ้งเมนูชุดใหม่ที่ทางร้านมุ่งมั่นคัดสรรวัตถุดิบจากแหล่งผลิตขนาดเล็ก ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน นำมารังสรรค์เป็นอาหารในรูปแบบเซ็ตเมนู 2 แบบ ได้แก่ อาหารชุดทาเกะ 6 คอร์ส และอาหารชุดมัสซึ 7 คอร์ส นอกจากนี้ยังมีเมนูพิเศษ เนื้อสันนอกญี่ปุ่น ซึ่งเป็นเมนูทางเลือกสำหรับอาหารจานหลักอีกด้วย
อาหารชุดทั้ง 2 แบบ จะเริ่มให้บริการด้วยอาหารคำเล็ก (Amuse Bouche) ที่มีความเป็นเอกลักษณ์ของห้องอาหาร ก่อนจะเริ่มให้บริการอาหารจานแรก โดยพนักงานจะนำมาเสิร์ฟทีละจาน พร้อมกับอธิบายที่มาของแต่ละเมนู ก่อนจะปิดท้ายด้วยของหวาน เป็นอันจบคอร์สอาหารสุดพิเศษ
หากใครที่อยากลองสัมผัสประสบการณ์อาหารฝรั่งเศสกลิ่นอายญี่ปุ่น บอกเลยว่าต้องลองมาชิมรสชาติอาหารสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่ Elements ดูสักครั้ง รับประกันได้ว่าจะต้องติดใจอย่างแน่นอน
R-HAAN (อาหาร)
ร้านอาหารไทยแท้สูตรต้นตำรับสไตล์ Fine Dining การันตีคุณภาพด้วยรางวัลมิชลินสตาร์ 1 ดาว พร้อมการสร้างสรรค์เมนูอาหารโดยฝีมือของเชฟชุมพล แจ้งไพร เชฟชื่อดังของเมืองไทยที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการอาหารมากว่า 30 ปี ซึ่งเมนูอาหารของที่นี่มาพร้อมคอนเซปต์ “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” ที่สื่อถึงความอุดมสมบูรณ์ของข้าวปลาอาหารในเมืองไทย รวมไปถึงความปราณีตของศิลปวัฒนธรรมที่ถูกถ่ายทอดสู่รสชาติของอาหารในแต่ะละจาน
สำหรับวัตถุดิบที่ทางร้านใช้ จะเน้นแบบไทยแท้ๆ ที่คัดสรรมาจากวัตถุดิบท้องถิ่นคุณภาพที่มีชื่อเสียงจากจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศไทย ผ่านความพิถีพิถันในทุกขั้นตอนการปรุง รวมไปถึงการรักษารสชาติให้ครบทั้งเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม และเผ็ด พร้อมเสริมด้วยรสขม ฝาด ซ่า ให้ออกมาครบเครื่องถึงเสน่ห์ของอาหารไทยมากที่สุด โดยจะแบ่งเป็นสำรับประจำ 3 ฤดูกาล ได้แก่ ฤดูร้อน, ฤดูฝน และฤดูหนาว ทำให้เราได้สัมผัสวัตถุดิบที่ดีที่สุดของฤดูกาลนั้นๆ ของอย่างแท้จริง
โดยอาหารที่ให้บริการจะเป็นมื้อค่ำแบบเซ็ตเมนูที่เสิร์ฟให้ทานกันเป็นคอร์ส มีให้เลือกอร่อยกัน 2 สำรับ ได้แก่ “รอยัล ไทยเทสต์ สำรับ” ที่เน้นรสชาติอาหารแบบไทยแท้ ที่หาทานได้ยากในปัจจุบัน พร้อมอิ่มเอมไปกับวัตถุดิบเลื่องชื่อของไทยจากแต่ละภาค ส่วนอีก 1 สำรับ คือ “อะเมซิ่ง ไทยเทสต์ สำรับ” ที่เน้นการผสมผสานรสชาติความกลมกล่อมของอาหารให้เข้ากันได้อย่าลงตัว อัดแน่นด้วยอาหารคาวหวานหลากเมนูที่ทุกคนคุ้นเคย แต่เปี่ยมไปด้วยรสชาติที่ทุกคนต้องเซอร์ไพรส์
ปิดท้ายด้วยการสอดแทรกความเป็นไทยลงไปในทุกๆ มุมของร้าน ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งร้านที่เน้นความเป็นไทย แต่แฝงความร่วมสมัยลงไปได้อย่างมีสีสัน หรือจะเป็นภาชนะใส่อาหาร ที่งดงามด้วยลายฝีมือจากข่างชั้นสูง ถอดแบบมาจากเครื่องต้นที่ถูกใช้ในพระราชวังสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ให้เราได้สัมผัสความเป็นไทยในแบบทุกอณูจริงๆ
J’AIME by Jean-Michel Lorain (แฌม บาย ฌอง-มิเชล โลรองด์)
ร้านอาหารสัญชาติฝรั่งเศสสไตล์ Fine Dining ที่ตั้งอยู่บนชั้น 2 ของโรงแรม U Sathorn Bangkok การันตีคุณภาพโดยเชฟ Jean-Michel Lorain เจ้าของร้านอาหาร La Côte Saint-Jacques แห่งแคว้นเบอร์กันดีของฝรั่งเศส ที่ได้รับรางวัลมิชลินสตาร์ 2 ดาว
โดยร้าน J’AIME by Jean-Michel Lorain นั้นเปรียบเสมือนการยกฝรั่งเศสมาไว้ที่ไทยเลยก็ว่าได้ เพราะที่นี่บริหารงานโดยคุณ Marine Lorain ซึ่งเป็นทายาทรุ่นที่สาม มาพร้อมการบริการและสไตล์ของอาหารที่เหมือนมาจากร้านที่ฝรั่งเศส จึงมั่นใจได้ถึงรสชาติและคุณภาพระดับเวิลด์คลาสขนานแท้
สำหรับเมนูอาหารจะเน้นไปที่สไตล์ฝรั่งเศสเป็นหลัก รวมไปถึงการให้ความพิถีพิถันและใส่ใจในทุกรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการปรุงอาหาร หรือการเลือกวัตถุดิบ ที่เน้นการผสมผสานระหว่างของจากต่างประเทศและในประเทศให้เข้ากันได้อย่างลงตัว พร้อมทั้งใส่ความเป็นฝรั่งเศสผ่านขั้นตอนการปรุงอาหาร เพื่อให้ได้รสชาติแบบต้นตำรับมากที่สุด โดยขั้นตอนทั้งหมดถูกดูแลโดยเชฟใหญ่ของร้านอย่างเชฟ Amerigo Sesti ชาวอิตาเลียน ผู้ซึ่งเคยร่วมงานกับเชฟ Jean-Michel Lorain มาก่อน อีกทั้งเขายังได้ร่วมงานกับหลากหลายร้านอาหารในยุโรปอีกด้วย
เมนูอาหารของที่นี่มีให้เลือกหลายแบบ อาทิ มื้อกลางวัน, มื้อค่ำ, เมนูแบบ A la carte หรือใครที่อยากจัดเต็ม ทางร้านก็มีเซ็ตเมนูแบบเป็นคอร์ส พร้อมให้บริการด้วยเช่นกัน
ส่วนการตกแต่งก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ต้องยกนิ้วให้ เริ่มต้นด้วยความเรียบหรูตามสไตล์ร้าน Fine Dining แต่จัดเต็มด้วยไอเดียที่บรรเจิดสุดๆ กับแนวคิดแบบ Upside Down ที่มาพร้อมการจัดวางเฟอร์นิเจอร์และสิ่งของ ด้วยการสลับบนล่างได้อย่างน่าอัศจรรย์ ไม่ว่าจะเป็นการนำเปียโนไปห้อยกลับหัวอยู่บนเพดาน หรือการนำโคมไฟมาวางหงายอยู่บนพื้น ให้ความรู้สึกน่าพิศวงทุกครั้งที่ได้มาเยือน
Canvas (แคนวาส)
ร้านอาหาร Fine Dining ในบรรยากาศร่วมสมัย จากการรังสรรค์ของเชฟ Riley Sanders เชฟชาวสหรัฐอเมริกา จากเท็กซัส ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์จากทั่วมุมโลก ผ่านการเดินทางเพื่อค้นหารสชาติอาหารใหม่ๆ ผสานกับประสบการณ์ในการร่วมงานกับเชฟมิชลินชื่อดังมากมาย ทั้งในร้านอาหารมิชลินและบนเรือยอร์ชสุดหรู ก่อนที่เขาจะข้ามหน้าข้ามทะเลมายังกรุงเทพ เพื่อสานฝันกับการทำอาหารที่ Canvas แห่งนี้
ทุกเมนูที่ Canvas ได้นิยามว่าเป็นอาหารสไตล์ Contemporary Bangkok Cuisine มาพร้อมอาหารที่เน้นวัตถุดิบแบบไทยๆ แต่ผสมผสานความร่วมสมัยเข้าไปได้อย่างลงตัว ผนวกด้วยการรังสรรค์อย่างพิถีพิถัน กลายเป็นเมนูอาหารรสชาติแปลกใหม่ที่ต้องมาลองสักครั้ง
อาหารของที่นี่จะเน้นการเสิร์ฟแบบเป็นคอร์ส โดยมีให้เลือก 2 แบบ คือ 6 คอร์ส และ 9 คอร์ส โดยแต่ละเมนูจะสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามฤดูกาล เพื่อการคัดสรรวัตถุดิบคุณภาพที่ดีที่สุดในช่วงเวลานั้นๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะถูกเลือกมาจากแหล่งที่ดีที่สุดของไทย จึงมั่นใจได้ถึงคุณภาพและความสดใหม่อย่างแท้จริง
Upstairs at Mikkeller (อัพสแตร์ส แอท มิคเคลเลอร์)
ร้านอาหารสไตล์ Chef’s Table ที่เน้นบรรยากาศแบบสบายๆ และเป็นกันเอง ให้ทุกคนได้เข้าถึงอาหารแบบ Fine Dining กันได้อย่างง่ายๆ แบบไม่ต้องมีพิธีรีตอง เหมือนได้มาเอ็นจอยช่วงเวลาดีๆ กับผองเพื่อน นำทัพความอร่อยโดยเชฟ Dan Bark ซึ่งเป็นผู้คุมบังเหียนในการสร้างสรรค์สุดยอดเมนูทั้งหมด จนได้รางวัลมิชลินสตาร์ 1 ดาวมาครอบครอง
อาหารของที่นี่มาพร้อมสไตล์ Progressive American ซึ่งเชฟ Dan ตั้งใจศึกษาและใช้เวลาในการออกแบบแต่ละเมนูมาอย่างละเอียดกว่า 1 ปี ซึ่งขอบอกเลยว่าประสบการณ์ของเชฟสุดเท่คนนี้ เรียกว่าไม่ธรรมดา เพราะว่าเขาเคยเป็น Sous Chef ที่ร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์ 3 ดาว แห่งเมืองชิคาโก้อีกด้วย
ในส่วนของเมนูอาหารจะเสิร์ฟมาทั้งหมด 10 คอร์ส พร้อมการแพร์ริ่งในรูปแบบใหม่กับ Craft Beer ชั้นนำอีก 6 ชนิด ซึ่งนอกจากรสชาติอาหารที่ต้องยกนิ้วให้แล้ว เรายังจะได้ชมการปรุงอาหารจากเชฟแบบจานต่อจานอย่างใกล้ชิดอีกด้วย
ตัวร้านตั้งอยู่บนชั้น 2 ของบาร์เบียร์ชื่อดังอย่าง Mikkeller ซึ่งในส่วนของ Upstairs ได้ดัดแปลงพื้นที่ชั้น 2 ของบ้าน ให้กลายเป็นพื้นที่ทานอาหารบรรยากาศสบายๆ โดยใช้เฟอร์นิเจอร์โทนสีขาวเป็นหลักทั้งโต๊ะและเก้าอี้ ตัดกับพื้นไม้สีน้ำตาลเข้ม พร้อมด้วยภาพกราฟฟิคสุดชิคบนผนัง
Le Du (ฤดู)
ร้านอาหารไทยในรูปแบบ Fine Dining ที่มาพร้อมคอนเซปต์อาหารไทยแบบร่วมสมัย โด่งดังสุดๆ จนติดอันดับ 14 ของ Asia’s 50 Best Restaurants และล่าสุดกับการคว้ารางวัลมิชลินสตาร์ 1 ดาว มาได้สำเร็จ นี่จึงเป็นเครื่องตอกย้ำว่า Le Du คือ 1 ในร้านที่มาแรงแห่งยุคนี้จริงๆ
หากใครที่เป็นแฟนรายการ Top Chef Thailand คงจะคุ้นหน้าคุ้นตา “เชฟต้น ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร” 1 ในคณะกรรมการเป็นอย่างดี ซึ่งเขานี่แหละที่เป็นผู้กุมบังเหียนของร้าน Le Du ผ่านการนำเสนออาหารไทยสูตรโบราณ ที่เน้นการใช้วัตถุดิบท้องถิ่นในอดีต ที่อาจจะถูกหลงลืมไปในปัจจุบัน นำมากลับรีเฟรชใหม่ให้ผสานกับกรรมวิธีการปรุงอาหารแบบใหม่ๆ ที่เน้นเรื่องของเทคนิคและความคิดสร้างสรรค์ กลายเป็นอาหารไทยร่วมสมัยที่ยังรักษารสชาติแบบดั้งเดิมไว้ได้แบบไม่ผิดเพี้ยน
สำหรับเมนูอาหารของทางร้านจะเสิร์ฟแบบเป็นคอร์ส ที่มีให้เลือกทั้ง 4 คอร์ส และ 6 คอร์ส ประกอบด้วยของคาวและของหวาน ซึ่งในแต่ละคอร์ส ก็จะมีช้อยส์ให้เลือกอีกเช่นกัน นอกจากนี้สำหรับสายดื่ม ยังสามารถสั่งไวน์เพื่อทานคู่กับอาหารได้อีกด้วย
Saawaan (สวรรค์)
ร้านอาหารไทยฟิวชั่นที่ได้รับรางวัลมิชลินสตาร์ 1 ดาว ตั้งอยู่ในย่านใจกลางเมืองอย่าง ซ.สวนพลู โดยร้านมาพร้อมคอนเซปต์การรักษาอาหารไทยที่หาทานยาก ให้คงอยู่ต่อไป รวมไปถึงการยกระดับอาหารไทยสู่ความเป็นสากลมากยิ่งขึ้น
สำหรับเชฟผู้ดูแลร้าน Saawaan ก็คือ “เชฟอ้อม สุจิรา พงษ์มอญ” เชฟผู้มากประสบการณ์ที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการอาหารมาอย่างยาวนาน ผ่านการทำงานในห้องอาหารใหญ่ๆ มากมาย โดยรูปแบบการเสิร์ฟอาหาร จะมาแบบเป็นเซ็ตเมนูทั้งหมด 10 คอร์ส ที่มีทั้งของทานเล่น, อาหารจานหนัก และของหวาน โดยทุกจานอาหารประกอบไปด้วยเรื่องราวและรายละเอียดสุดพิถีพิถัน ที่ผู้ทานทุกคนจะต้องประทับใจ
โดยความน่าตื่นตาตื่นใจคือ กรรมวิธีการปรุงอาหารและวัตถุดิบต่างๆ ล้วนเป็นแบบไทยแท้ทั้งสิ้น แต่เมื่อรังสรรค์ออกมาเป็นจานอาหารแล้ว ขอบอกเลยว่าหน้าตาของแต่ละเมนู ช่างดูทันสมัยและสวยงามสุดๆ
ภายในร้านประกอบด้วยที่นั่งทั้งหมด 24 ที่ และที่นั่งแบบเคาน์เตอร์บาร์อีก 6 ที่ ซึ่งเราสามารถนั่งชมการทำงานของเชฟได้แบบริงไซด์ ส่วนการตกแต่งร้านมาในสไตล์ร่วมสมัย เน้นการใช้เฟอร์นิเจอร์เป็นหลัก เพื่อเพิ่มความเรียบหรูและดูดี
Nahm (น้ำ)
ร้านอาหารไทยแห่งนี้ตั้งอยู่ที่โรงแรม COMO Metropolitan Bangkok เป็นร้านอาหารที่ติดอันดับ World’s 50 Best Restaurants และ Asia’s 50 Best Restaurants เริ่มต้นความอร่อยโดยเชฟ David Thompson ที่เริ่มเปิดร้านอาหาร Nahm ครั้งแรกเมื่อปี 2011 ที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งก็สามารถคว้ารางวัลมิชลินสตาร์มาครอบครองในเวลาเพียงแค่ 6 เดือนเท่านั้น ก่อนจะขยับขยายมาเปิดร้าน Nahm ที่กรุงเทพฯ ซึ่งได้ส่งไม้ต่อให้ “เชฟพิม เตชะมวลไววิทย์” เป็นผู้ดูแลต่อ จนสามารถคว้ารางวัลมิชลินสตาร์ 1 ดาวมาครองได้เช่นกัน
Nahm ให้บริการอาหารไทยสูตรต้นตำรับ ที่เน้นการคัดสรรวัตถุดิบแบบท้องถิ่นแท้ๆ มาใช้ ก่อนจะนำไปผ่านกรรมวิธีการปรุงรสสุดพิถีพิถัน แถมยังเปี่ยมไปด้วยรสชาติสุดจัดจ้านถึงใจ กลายมาเป็นอาหารไทยที่มีหน้าตาร่วมสมัย แต่มาพร้อมรสชาติแบบดั้งเดิม
โดยส่วนของเมนูอาหารมีให้เลือกทั้งแบบที่เสิร์ฟเป็นคอร์ส และแบบ A La Carte ที่มีให้เมนูให้เลือกอิ่มอร่อยหากหลายประเภท อาทิ อาหารทานเล่น, ยำ, ซุป, แกง และอาหารประเภทผัด ที่สามารถสั่งมาทานคู่กับข้าวหอมมะลิร้อนๆ ได้อย่างลงตัวสุดๆ
Saneh Jaan (เสน่ห์จันทน์)
ร้านอาหารไทยคุณภาพสไตล์ Fine Dining ที่พร้อมเสิร์ฟอาหารไทยแท้ให้ได้ลิ้มลองกันในบรรยากาศแบบร่วมสมัย โดยชื่อร้านมีที่มาจาก ขนมไทยโบราณที่ใช้ในงานมงคล ชื่อ “เสน่ห์จันทน์” จึงสื่อถึงความเป็นมงคล ที่เปรียเสมือนคุณค่าของอาหารไทย
ภายในร้านตกแต่งในบรรยากาศไทยร่วมสมัย ให้ความรู้สึกหรูหรา พร้อมเพิ่มสีสันด้วยการประดับตกแต่งภาพงานศิลปะอันหลากหลาย แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะแฝงความเป็นไทยลงไปในรายละเอียดต่างๆ เช่น ภาชนะและเครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร
ในส่วนของวัตถุดิบ ทางร้านได้คัดสรรมาเป็นอย่างดี พร้อมเน้นความพิถีพิถันในทุกขั้นตอนการปรุงอาหาร รวมไปถึงการคิดค้นพัฒนาบางตำรับ ให้มีรสชาติที่จัดจ้านยิ่งขึ้น แต่ยังไม่คงทิ้งความเป็นไทยแบบดั้งเดิม นอกจากนี้ยังมีการเลือกใช้วัตถุดิบไทยธรรมชาติต่างๆ ทั้งใบกะเพรา, กระเทียมเถา, พริกขี้หนูสด และดอกกระเจี๊ยบ มาเป็นส่วนประกอบของทั้งอาหารและเครื่องดื่มอีกด้วย
ทุกเมนูของที่นี่ จึงเต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าค้นหา และมีให้เลือกลิ้มลองอย่างหลากหลาย
โดยเมนูอาหารมีให้บริการทั้งเซ็ตอาหารกลางวัน รวมไปถึงเซ็ตสำรับอาหารไทย ที่มีให้อิ่มอร่อยทั้งอาหารว่าง อาหารจานหลัก และขนม ส่วนผู้ที่ไม่เน้นทานเยอะ ก็ยังมีเมนูแบบ A La Carte ให้เลือกสั่งด้วยเช่นกัน
Gaa (กา)
พักอารมณ์จากอาหารไทย แล้วลองเปิดใจสัมผัสรสชาติอาหารสไตล์ใหม่ๆ กับร้านอาหารสุดเท่เจ้าของรางวัลมิชลินสตาร์ 1 ดาว ย่านหลังสวน มาพร้อมคอนเซปต์อาหารแบบ Modern Eclectric ที่ชูจุดเด่นด้วยวัตถุดิบคุณภาพที่คัดสรรมาอย่างดีจากทั่วประเทศไทย นำมาผสมผสานให้เข้ากับกรรมวิธีการปรุงอาหารทั้งแบบสมัยใหม่และแบบดั้งเดิม ออกมาเป็นอาหารหน้าตาสวยงามแปลกใหม่ พร้อมด้วยรสชาติสุดโดนใจ
นำทัพความอร่อยโดยเชฟ Garima Arora เชฟสาวเชื้อสายอินเดีย ผู้รับหน้าที่ดูแลทุกขั้นตอนการผลิตอาหารอย่างพิถีพิถัน พร้อมอัดแน่นไปด้วยประสบการณ์ด้านอาหารมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการร่วมงานกับ Gordon Ramsay ในร้านอาหาร Bread Street Kitchen & Bar ที่ดูไบ รวมไปถึงการทำงานที่ร้านอาหาร Noma ร้านระดับมิชลินสตาร์ 2 ดาวที่โคเปนเฮเกน เดนมาร์ค
เมนูอาหารของที่นี่นอกจากจะโดดเด่นเรื่องหน้าตาที่เป็นเอกลักษณ์แบบสุดๆ แล้ว ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยรสชาติและกลิ่นที่ผสมผสานจากวัตถุดิบและเครื่องปรุงสูตรเฉพาะ ซึ่งซอสและส่วนผสมต่างๆ ล้วนแล้วแต่เป็นสไตล์โฮมเมด ที่ทีมเชฟเป็นผู้ปรุงขึ้นเองทั้งหมด
ในส่วนของรูปแบบการเสิร์ฟอาหารจะเป็นแบบเทสติ้งเมนู ที่เสิร์ฟให้ทานกันแบบเป็นคอร์ส อัดแน่นไปด้วยของคาวและของหวานหลากชนิด นอกจากนี้ยังสามารถเลือกสั่งน้ำผลไม้หรือไวน์ เพื่อนำมาทานคู่กับเซ็ตอาหารได้อีกด้วย
ปิดท้ายด้วยการตกแต่งร้าน ที่โดดเด่นสุดๆ ด้านนอกร้านกับตัวอาคารสีเหลือง ส่วนด้านในเน้นสไตล์ที่ผสมผสานระหว่างความโมเดิร์นและคลาสสิค โดยการเลือกใช้อิฐเป็นส่วนประกอบ พร้อมเสริมด้วยของตกแต่งร้านที่ดูทันสมัย ช่วยให้ร้านดูเก๋และมีเอกลักษณ์ยิ่งขึ้น
Sühring (ซูห์ริง)
ร้านอาหาร Fine Dining สัญชาติเยอรมัน เจ้าของรางวัลมิชลินสตาร์ 2 ดาว นำทีมโดยเชฟคู่แฝดชาวเยอรมัน Mathias Sühring และ Thomas Sühring ที่มีประสบการณ์ด้านอาหารมากว่า 10 ปี อีกทั้งยังเคยทำงานที่ร้าน Aqua ร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์ 3 ดาวที่เยอรมนีมาอีกด้วย
Sühring พร้อมเสิร์ฟความอร่อยด้วยอาหารสไตล์ New German Cuisine ซึ่งมองเผินๆ อาจจะเป็นอาหารที่แปลกใหม่สำหรับใครหลายๆ คน เพราะเมนูต่างๆ ของที่นี่ เชฟทั้งสองได้นำอาหารเยอรมันแบบดั้งเดิมที่พวกเขาคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็กๆ มาดัดแปลงให้เข้ากับกรรมวิธีการปรุงอาหารและเทคนิครูปแบบใหม่ๆ เท่านั้นยังไม่พอ พวกเขายังได้คัดสรรวัตถุดิบเกรดเอ มาให้สายอาหารได้ลิ้มลองกันโดยเฉพาะ
โดยเมนูอาหารของที่นี่พร้อมให้บริการแบบเป็นเซ็ตเมนูในช่วงมื้อกลางวัน (เฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์) และให้บริการแบบ A La Carte และแบบเซ็ตเมนูในช่วงมื้อเย็นของทุกวัน ซึ่งไฮไลท์เด็ดอยู่ที่เซ็ตเมนู ที่เปรียบเสมือนการรวมอาหารจากแคว้นต่างๆ ของเยอรมนี ส่งตรงมาให้เราชิมกันที่กรุงเทพฯ แบบที่ไม่ต้องตีตั๋วบินข้ามไปทวีปไปชิมเลย โดยเฉพาะยังเราสามารถสั่งไวน์มาดื่มเพิ่มเติม เพื่อจับคู่กับอาหารได้อีกด้วย
ส่วนผู้ที่ชอบความร่มรื่น ก็คงต้องตกหลุมรักไปกับบรรยากาศของร้าน ที่เต็มไปด้วยสีเขียวจากต้นไม้นานาพันธุ์ โดยต้วร้านได้มีการปรับปรุงบ้านเก่าในซอยเย็นอากาศให้กลายมาเป็นร้านอาหาร ที่ประกอบไปด้วยโซนที่นั่งให้เลือกอย่างหลากหลาย ตกแต่งแบบเรียบๆ แต่แฝงไว้ด้วยความอบอุ่น เปรียบเสมือนทานอาหารอยู่ที่บ้าน พร้อมเพิ่มกิมมิคเก๋ๆ ด้วยเฟอร์นิเจอร์สไตล์ย้อนยุค และของประดับสุดคลาสสิคที่มีกลิ่นอายของความเป็นยุโรปยุคเก่า
Paste (เพสท์)
อีกหนึ่งร้านอาหารไทยที่ได้รับรางวัลมิชลินสตาร์ 1 ดาว มาพร้อมคอนเซปท์การนำเสนออาหารไทยแบบดั้งเดิม ให้ออกมาในรูปแบบที่ทันสมัยยิ่งขึ้น โดยร้านก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2013 ที่ทองหล่อ ก่อนจะย้ายมาที่ห้าง Gaysorn เมื่อปี 2015
การตกแต่งร้านเน้นความโปร่งโล่งสบาย ทำให้ไม่รู้สึกอึดอัดจนเกินไป มีที่นั่งให้เลือกมากมายหลากหลายโซน ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะเดี่ยว โต๊ะคู่ หรือโต๊ะใหญ่ ก็พร้อมรองรับลูกค้าทุกกลุ่ม พร้อมเพิ่มรายละเอียดต่างๆ ด้วยของตกแต่งสไตล์ไทยๆ
ส่วนเรื่องของอาหารนั้น ทางร้านได้รับแรงบันดาลใจมาจากอาหารตำรับชาววังและอาหารสูตรโบราณในอดีต ก่อนจะนำมาประยุกต์เข้ากับกรรมวิธีการปรุงอาหารในยุคปัจจุบัน ผสานกับการคัดสรรวัตถุดิบที่ดีที่สุดจากแหล่งต่างๆ ทั่วไทย กลายมาเป็นรสชาติอาหารที่ถูกปากลูกค้าทุกคน
โดยส่วนผสมของทุกเมนู ทางเชฟได้เป็นผู้คัดเลือกด้วยตนเองจากกว่า 30 ชนิด รวมไปถึงวัตถุดิบจำพวกสมุนไพรและเครื่องเทศ ก็ถูกนำมาประยุกต์ให้เข้ากับหลากเมนู เพื่อให้เกิดเป็นเอกลักษณ์และสะท้อนถึงความเป็นอาหารไทยได้อย่างดีที่สุด
อาหารพร้อมให้บริการทั้งมื้อกลางวันและมื้อเย็น ในรูปแบบของเมนู A La Carte ส่วนคนที่อยากจัดหนัก ก็มีเทสติ้งเมนูสุดพิเศษหลากหลายเซ็ต พร้อมให้บริการด้วยเช่นกัน
Savelberg (ซาเวลเบิร์ก)
หนึ่งในร้านอาหารสุดฮิตระดับรางวัลมิชลินสตาร์ที่หลายคนกล่าวถึง นำทัพความอร่อยโดยเชฟ Henk Savelberg เชฟชาวเนเธอร์แลนด์ผู้สร้างชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ซึ่งก่อนหน้านี้เชฟได้เปิดร้านอาหารที่เนเธอร์แลนด์ 4 ร้าน ซึ่งทุกร้านล้วนแล้วแต่ได้รับรางวัลมิชลินสตาร์แทบทั้งสิ้น ก่อนที่เชฟจะย้ายถิ่นฐานมาเปิดร้าน Savelberg ที่กรุงเทพเมืองฟ้าอมร ซึ่งแน่นอนว่ารางวัลมิชลินสตาร์ก็ยังคงไม่หนีไปไหน เพราะที่นี่ได้รับดาวติดกันมาแบบ 2 ปีซ้อน ถือเป็นดาวดวงที่ 6 แล้วที่เชฟ Henk ได้รับมาตลอดการชีวิตการทำงาน
ที่นี่มาพร้อมกับอาหารสไตล์ฝรั่งเศสร่วมสมัย ซึ่งเชฟ Henk เป็นผู้คัดเลือกวัตถุดิบต่างๆ ด้วยตัวเอง ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้ามาจากยุโรปแทบทั้งสิ้น ส่วนทีมเชฟคนอื่นๆ ก็ช่วยกันเฟ้นหาวัตถุดิบคุณภาพในเมืองไทยมาเพื่อนเสริมทัพอีกด้วย
การให้บริการจะแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ มื้อกลางวัน และ มื้อค่ำ โดยจะเสิร์ฟอาหารแบบเป็นคอร์ส มีให้เลือก 2 แบบ คือ 4 คอร์ส และ 6 คอร์ส ที่มีทั้งของคาวและของหวานให้อิ่มอร่อยกันอย่างเต็มที่ ส่วนผู้ที่ไม่เน้นทานแบบหนักๆ ก็มีเมนูแบบ A La Carte ให้เลือกสั่งด้วยเช่นกัน หากอยากทานอาหารคู่กับไวน์ ทางร้านก็มีไวน์ให้เลือกกว่า 170 ชนิด
ปิดท้ายด้วยการตกแต่งร้านที่ดูสูงโปร่ง ไม่อึดอัด โดยชั้นล่างจะเป็นห้องอาหาร เน้นโทนสีหลักเป็นสีส้ม เพิ่มความสว่างและสดใสด ดูเป็นกันเอง พร้อมด้วยครัวเปิดที่สามารถมองเห็นทุกขั้นตอนการปรุง ส่วนด้านบนชั้นลอยจะเป็นไวน์เล้านจ์และห้องไพรเวท
Bo.lan (โบ.ลาน)
ร้านอาหารไทยระดับพรีเมียมที่เปิดบริการมาอย่างยาวนาน การันตีความยอดเยี่ยมด้วยการเป็นหนึ่งในร้านอาหารที่ดีที่สุดในเอเชียของ World’s 50 Best Restaurants และการคว้ารางวัลมิชลินสตาร์ 1 ดาวมาได้อีก 1 ตำแหน่ง
ทางร้านเน้นการเลือกใช้ผลผลิตทางการเกษตรของไทยมาเป็นวัตถุดิบหลัก เพราะเจ้าของร้านเชื่อว่าประเทศไทยยังคงอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรอันทรงคุณค่ามากมาย จึงมีการใส่ใจในทุกๆ รายละเอียดให้เป็นมิตรกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งร้านด้วยเฟอร์นิเจอร์รีไซเคิล, การใช้ขวดแก้วแทนขวดพลาสติก, การปลูกพืชผักสวนครัว, การสนับสนุนวัตถุดิบจากเกษตรอินทรีย์แบบยั่งยืน ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ถือเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้วันนี้ร้าน Bo.lan ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงระบือไกล
สำหรับเมนูอาหารต่างๆ จะเน้นการใช้วัตถุดิบท้องถิ่นและดั้งเดิม นำมาปรุงแต่งขึ้นใหม่ให้มีความหลากหลาย แต่ยังคงรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ โดยเมนูต่างๆ จะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบตามฤดูกาล
ส่วนรูปแบบการเสิร์ฟอาหาร จะเน้นแบบเป็นคอร์ส แบ่งเป็นเซ็ตอาหารกลางวัน 1 คอร์ส คือ Bo.lan Lunch ส่วนมื้อค่ำมีให้เลือกถึง 3 เซ็ตเมนู ได้แก่ Bo.lan Botanical, Bo.lan Balance และ Bo.lan Feast ซึ่งทุกเซ็ตอาหาร จะประกอบไปด้วยของคาวและของหวานสุดหลากหลาย โดยเรายังสามารถสั่งไวน์มาเพื่อดื่มคู่กับอาหารได้อีกด้วย
Le Normandie (เลอ นอร์มังดี)
ห้องอาหารฝรั่งเศสที่เปิดบริการมาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 1958 แห่งนี้ตั้งอยู่ชั้น 5 ของโรงแรม Mandarin Oriental Bangkok ย่านเจริญกรุง ถือเป็นร้านที่ได้รับความนิยมและกล่าวถึงมาอย่างยาวนาน ทั้งในเรื่องของอาหาร การบริการ และความหรูหรา ที่ไม่เป็นสองรองใคร จวบจนการเดินทางยังเมืองไทยของมิชลิน ทำให้ Le Normandie โดดเด่นขึ้นเป็นทวีคูณ จากการได้รับรางวัลมิชลินสตาร์ 2 ดาว ถึง 2 ปีซ้อน ถือเป็น 1 ในห้องอาหารที่เหล่านักชิมอยากแวะเวียนมาสัมผัสสักครั้ง
เชฟใหญ่ผู้เป็นแม่ทัพสำคัญของ Le Normandie ก็คือเชฟ Arnaud Dunand-Sauthier เชฟชาวฝรั่งเศส ผู้ที่มีประสบการณ์การทำอาหารมากว่า 15 ปี ทั้งยังมีโอกาสได้ร่วมงานกับเชฟชื่อดังระดับโลกมากมาย ก่อนจะย้ายมาประจำที่ประเทศไทยตั้งแต่ปี 2012 นอกจากการคว้ารางวัลมิชลินสตาร์ 2 ดาวแล้ว ที่นี่ยังถูกยกย่องให้เป็นห้องอาหารฝรั่งเศสที่ดีที่สุดในประเทศไทยจาก คู่มือแนะนำ Les Grande Tables du Monde อีกด้วย
เมนูอาหารของที่นี่เน้นไปที่ความเป็นฝรั่งเศสร่วมสมัย มีการเลือกใช้วัตถุดิบชั้นเลิศพร้อมด้วยเครื่องปรุงที่นำเข้าจากฝรั่งเศส ผสานกับการใช้ผักออแกร์นิคจากโครงการหลวงของไทย พร้อมให้บริการอาหารทั้งมื้อกลางวันและมื้อค่ำ มีให้เลือกทั้งแบบเซ็ตเมนูที่เสิร์ฟเป็นคอร์ส และเมนูแบบ A La Carte ที่ขนกันมาทั้งเมนูเรียกน้ำย่อย, อาหารจานหลัก และของหวาน หรือจะเลือกออพชั่นเสริมด้วยการแพร์ริ่งกับไวน์ ก็ถือเป็นตัวช่วยที่ทำให้อาหารมื้อนี้พิเศษยิ่งขึ้น
อีกหนึ่งความพิเศษคือ ภายในห้องอาหารเราสามารถมองเห็นวิวอันสวยงามริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาได้อย่างชัดเจน สำหรับใครที่สนใจอยากสัมผัสประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟนี้ ต้องโทรจองโต๊ะล่วงหน้าก่อนประมาณ 1-2 สัปดาห์ เพราะดีกรีความฮอตของที่นี่ ไม่เคยลดลงเลยจริงๆ